(เพิ่มเติม1) KBANK คาดปี 60 ผลดำเนินงานทรงตัวจากปี 58-59 วางเป้าขยายสินเชื่อ 4-6% คุม Gross NPL 3.3-3.4%,เล็งเพิ่มสาขาตปท.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 29, 2016 14:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) แถลงแผนธุรกิจปี 60 คาดผลประกอบการใกล้เคียงปีนี้และปี 58 โดยตั้งเป้าสินเชื่อขยายตัว 4-6% ภายใต้คาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไทยในปีหน้าจะขยายตัว 3.3% ขณะที่ตั้งเป้าควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ก่อนการตั้งสำรอง (Gross NPL) ให้มีสัดส่วนไม่เกิน 3.3-3.4% ของสินเชื่อรวม พร้อมหาแนวทางการเปิดสาขาในเมียนมา เวียดนาม และอินโดนีเซีย ภายในปี 61

นางสาวขัตติย อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ KBANK คาดว่าแโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้และปี 60 คาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 58 ที่มีกำไร 3.94 หมื่นล้านบาท เนื่องจากยังได้รับแรงกดดันจากการตั้งสำรองในระดับสูงตามทิศทางหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจไทยยังไม่เห็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ส่งผลให้ธนาคารยังคงมีการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น

ทั้งนี้ KBANK ตั้งเป้าสินเชื่อปี 60 เติบโต 4-6% ภายใต้คาดการณ์ GDP ขยายตัวได้ 3.3% จากปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายและการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัว 8.5% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวได้ 2.8% ส่วนตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะยังเติบโตได้ 4.8% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแม้ว่าจะชะลอตัวลงจากปีนี้

ขณะที่การส่งออกไทยในปีหน้าคาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ 0.8% แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจต่างประเทศ เช่น ผลกระทบจาก Brexit , ความเปราะบางในยุโรป, การทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่จะกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย และทำให้ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่า, เศรษฐกิจจีนที่อาจยังคงชะลอตัว ส่วนปัจจัยในประเทศมาจากปัญหาสะสมของหนี้ครัวเรือนที่จำกัดอำนาจการซื้อของภาคครัวเรือน ทำให้การใช้จ่ายภาคเอกชนฟื้นตัวในกรอบจำกัด คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนปีหน้าจะเติบโต 2.2% และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.8%

นางสาวขัตติยา กล่าวอีกว่า ในด้านการควบคุมคุณภาพหนี้ ธนาคารมีเป้าหมายจะควบคุมอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (Gross NPL Ratio) ในปี 60 อยู่ที่ 3.3-3.4% ขณะที่แนวโน้มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) คาดว่ายังทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับปีนี้ที่ 3.3-3.4% แต่รายได้ค่าธรรมเนียมจะเติบโตลดลงมาที่ 5% จากปีนี้เติบโต 15% เนื่องจากฐานในปีนี้ขยับขึ้นมาสูง อีกทั้งในปีหน้าจะมีแรงกดดันจากปรับลดการขายผลิตภัณฑ์ประกันให้กับลูกค้า

ด้านนายธิติ ตันติกุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย เปิดเผยถึงทิศทางรายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการระดมทุนของลูกค้าว่า การออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนในปี 60 น่าจะมีมูลค่าราว 6.5 แสนล้านบาท โดย KBANK คาดหวังส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 18% จากปีนี้มีส่วนแบ่งตลาดที่ 17% หรือคิดเป็นมูลค่าหุ้นกู้ราว 1.3 แสนล้านบาท จากมูลค่าการออกหุ้นกู้ทั้งระบบราว 7.5 แสนล้านบาทถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่ โดยส่วนแบ่งตลาดของ KBANK เป็นอันดับสองรองจากธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

"ปีนี้ภาคเอกชนได้มีการออกหุ้นกู้มากที่สุด โดยเฉพาะในไตรมาส 4 นี้ เพราะหลายบริษัทคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนในการออกหุ้นกู้เพิ่มสูงขึ้น โดยปีหน้าเราก็คาดว่าจะมีภาคเอกชนออกหุ้นกู้แตะ 6.5 แสนล้านบาทถือเป็นตัวเลขที่สูงอยู่ โดยจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการในกลุ่ม consumer และมีทั้งการลงทุนในไทยและลงทุนในต่างชาติ ซึ่งเราเห็นแนวโน้มการขยายธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการขยายธุรกิจแบบ supply chain เพื่อต่อยอดธุรกิจ"นายธิติ กล่าว

แผนธุรกิจของ KBANK ในปี 60 ได้กำหนดทิศทางของ 4 สายงานธุรกิจ เพื่อสร้างประสบการณ์บริการที่เป็นเลิศทั้งลูกค้าและธุรกิจ โดยแบ่งเป็น 4 สายงานธุรกิจ โดยทิศทางธุรกิจกลุ่มลูกค้าบุคคล ธนาคารจะมุ่งเป็นธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยที่ได้มาตรฐานระดับโลกและยกระดับคุณภาพการเป็นที่ปรึกษาและการบริการผ่านสาขาเทียบเท่ามาตรฐานโลก โดยมุ่งเน้นพัฒนาช่องทางธนาคารบนโทรศัพท์มือถือเพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า จากปี 59 ที่มีฐานลูกค้าแอพพลิเคชั่นโมบายแบงกิ้งประมาณ 5 ล้านราย เป้าหมายปี 60 ต้องการเพิ่มฐานลูกค้าดังกล่าวเป็น 7.1 ล้านราย พร้อมตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 5-7% และมีฐานลูกค้าบุคคลเพิ่มเป็น 14.1 ล้านราย หรือคิดเป็นการเติบโต 5-6%

ส่วนทิศทางธุรกิจกลุ่มธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการ (SME) โดยธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 4-6% โดยเน้นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน เช่น ก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง ฮาร์ดแวร์ โดยธนาคารตั้งเป้าหมายที่จะรักษาความเป็นผู้นำและการเป็นธนาคารหลักของกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี

ทิศทางธุรกิจกลุ่มลูกค้าบรรษัท ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตสินเชื่อที่ 4-6% โดยมุ่งเน้นการเป็นผู้นำในการให้บริการด้านการระดมทุนที่หลากหลาย ทั้งการออกตราสาร กอง REIT การควบรวมกิจการ (M&A) เพื่อให้ลูกค้าได้ต้นทุนที่ดีที่สุด

และ ทิศทางธุรกิจข้ามประเทศ มุ่งสู่การเป็นธนาคารเพื่อการรับชำระเงินและการลงทุนแห่งภูมิภาค ด้วยการวางโครงสร้างพื้นฐานรองรับการโอนเงินและชำระเงินข้ามประเทศ สกุลเงินท้องถิ่นในภูมิภาคอาเซียน เพื่อสนับสนุนลูกค้าธุรกิจที่ต้องการเข้าไปลงทุนใน CLMVI การจัดตั้งศูนย์ธุรกิจการค้าชายแดนเพื่อสนับสนุนการทำการค้าชายแดน สนับสนุนการระดมทุนเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งโรงไฟฟ้า ถนน และท่าเรือ ในกลุ่มประเทศ CLMV รวมทั้งการควบรวมกิจการ โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทไทยและญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ในปี 60 ธนาคารยังเดินหน้าขยายเครือข่ายในต่างประเทศ เช่น การยกระดับเป็นธนาคารท้องถิ่นในประเทศจีน การเพิ่มสาขาแห่งที่ 2 ของธนาคารท้องถิ่นในสปป.ลาว การเพิ่มปริมาณธุรกิจของสาขากรุงพนมเปญ และหาแนวทางเปิดสาขาในเวียดนาม อินโดนีเซีย และเมียนมา ภายในปี 61 "ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปีหน้าคือธุรกิจก่อสร้าง จากบรรยากาศการลงทุนที่ค่อยๆฟื้นตัวและโครงการของรัฐ ธุรกิจยานยนต์ และจากการที่รถคันแรกทยอยสิ้นสุดลงจะเป็นผลดีต่อยอดขายในประเทศ ขณะที่การส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนมีโอกาสฟื้นตัวโดยเฉพาะตลาดอาเซียนและออสเตรเลีย ธุรกิจบริการสุขภาพที่ได้รับอานิสงส์จากกลุ่มลูกค้า Medical Tourism ซึ่งไทยมีความได้เปรียบหลายประเทศในภูมิภาค และธุรกิจท่องเที่ยวที่บางตลาดมีแนวโน้มดีขึ้น เช่น รัสเซียและสแกนดิเนเวีย"นางสาวขัตติยา กล่าว

ในปี 60 ธนาคารได้ตั้งบงบประมาณด้านไอทีประมาณ 10% ของกำไรสุทธิ หรือประมาณ 4 พันล้านบาท และการลงทุนในรูปแบบเวนเจอร์ แคปปิตอล (VC) อีกประมาณ 2% ของกำไรสุทธิหรือ 1 พันล้านบาท เพื่อพัฒนานวตกรรมใหม่ ๆ โดยธนาคารจะขยายการลงทุนในฟินเทคและสตาร์ทอัพผ่าน VC ทั้งการลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในสตาร์ทอัพของไทยและภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารมีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมหรือโมเดลธุรกิจใหม่ และการลงทุนผ่านกองทุนเพื่อการระดมทุน (Fund of Fund) ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารเข้าถึงแนวคิดนวัตกรรมระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ