TMB เผยกำไรปี 59 หด 12% หลังตั้งสำรองสูง 8.65 พันลบ.,สินเชื่อโต 2.2%-NPL ลดมาที่ 2.53%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 17, 2017 14:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (TMB) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของธนาคารในปี 59 มีกำไรสุทธิ 8,226 ล้านบาท ลดลง 12% จากปีก่อน หลังธนาคารตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 8,649 ล้านบาท ซึ่งการตั้งสำรองระดับค่อนข้างสูงนี้เพื่อให้ธนาคารสามารถตัดหนี้สูญ (write off) เพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงลง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารลดลงเป็น 2.53% และมีสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ในระดับสูงที่ 143%

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองฯ จะมีจำนวน 18,667 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปี 58 โดยสินเชื่อในปีที่ผ่านมาเติบโต 2.2% แม้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อ SME จะลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจ สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง จากที่ธนาคารได้ปรับปรุงกระบวนการนำเสนอสินเชื่อให้มีความรวดเร็วและถูกต้องตอบโจทย์ลูกค้า ทำให้ลูกค้าสนใจใช้ผลิตภัณฑ์ของธนาคารมากขึ้น

"ในปี 59 ธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ ภายใต้แนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความแน่นอน และตัดสินใจลดความเสี่ยงเพิ่มเติม โดยตั้งสำรองเพื่อตัดบัญชีหนี้สูญมากขึ้นจากปกติ เป็นผลให้ธนาคารมีสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อลดลงมาที่ 2.53% จาก 2.99% ในปีที่แล้ว และจำนวน NPL ลดลง 2,868 ล้านบาทจากปีก่อน เป็น 17,605 ล้านบาท"นายบุญทักษ์ กล่าว

นายบุญทักษ์ กล่าวว่า ส่วนเงินฝากรวมลดลง 7% จากสิ้นปีก่อนหน้า จากการบริหารสัดส่วนของเงินฝากให้มุ่งเน้นเงินฝากธุรกรรมทางการเงิน (Transactional deposit) มากขึ้นและให้สอดคล้องกับทิศทางสินเชื่อ ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ที่ 99% โดยธนาคารประสบความสำเร็จในการขยายเงินฝากธุรกรรมทางการเงิน (Transactional deposit) จากฐานเงินฝากลูกค้าบุคคล ซึ่งนำโดยการขยายตัวของเงินฝาก All Free ซึ่งเติบโตถึง 20,000 ล้านบาท โดยในปี 59 นี้ สัดส่วนเงินฝากธุรกรรมทางการเงิน (Transactional deposit) เพิ่มขึ้นจาก 37% เป็น 40%

รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 7% ในปี 59 ซึ่งมาจากอัตราส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ที่สูงขึ้นเป็น 3.17% จาก 3.02% ในปีก่อน ขณะที่ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน โดยแม้ว่าค่าธรรมเนียมสินเชื่อลดลง 32% ตามทิศทางสินเชื่อธุรกิจที่ลดลง แต่ค่าธรรมเนียมจากลูกค้าบุคคลยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ 13% จากค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์แบงก์แอสชัวรันส์ที่สามารถขยายตัวได้ถึง 32% และค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่ยังขยายตัวถึง 65% ซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น

รายได้รวมของธนาคารเพิ่มขึ้น 5% จากปีที่แล้ว เป็นจำนวน 35,223 ล้านบาท ในขณะที่ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย 1% จากปีที่แล้ว เป็นจำนวน 16,589 ล้านบาท

นอกจากนี้ ธนาคารยังคงดำรงสถานะเงินกองทุนในระดับแข็งแกร่งภายใต้เกณฑ์ Basel III โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) ณ เดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเป็น 18.14% และกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) เพิ่มขึ้นจาก 11.3% ปีที่แล้วเป็น 12.80% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งกำหนดไว้ที่ 9.125% และ 6.625% ตามลำดับ

สำหรับในปี 60 ธนาคารจะยังมุ่งเน้นการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า พร้อมทั้งการปรับประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนา Digital Banking ที่จะช่วยให้ลูกค้าได้ใช้ชีวิตได้เต็มที่ในแบบลูกค้าต้องการ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ