AECS มองกรอบ SET ปีนี้ 1,474-1,683 จุด จากความไม่แน่นอนศก.โลก-BREXIT-นโยบายทรัมป์

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 19, 2017 14:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายรณกฤต สารินวงศ์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เออีซี (AECS) ประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2560 ระหว่าง 1,474-1,683 จุด โดยอ้างอิงการประมาณการค่า PER จาก Band ในอดีต พบว่า จุดต่ำสุดในรอบ 5 ปีอยู่ที่ 13.8 เท่า และจุดเฉลี่ยเหมาะสมของ Fair PER อยู่ที่ 15.7 เท่า จะได้กรอบและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก หลัง BREXIT และการได้ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของเงินทุนสำคัญ ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายมากขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะการจับตาทิศทางของ Fund Flow อย่างใกล้ชิด

ประกอบกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED โดยประเมินว่าจะมีการปรับขึ้นอย่างน้อยอีก 3 ครั้ง ไม่ต่ำกว่า 1.50% จากระดับปัจจุบัน 0.50-0.75% ทำให้มีการขายทำกำไรพันธบัตรออก และหันไปเก็งกำไรเงินดอลลาร์ และหุ้นแทน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติลดการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่อง

นอกจากนี้ จากข้อมูลอ้างอิงจาก Bloomberg พบว่าในปี 2560 การขยายตัวของ GDP ไทยคาดจะเติบโตที่ 3.2% เมื่อเทียบจากปีก่อน ขณะที่กระทรวงการคลังมีมุมมองเชิงบวกหลังรัฐบาลออกแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยประเมินว่า GDP อาจเติบโตได้ถึง 4% อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ การขยายตัวของเงินเฟ้อ (CPI) ซึ่งมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นมากจากการเร่งกระตุ้นการใช้จ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน

รวมทั้งหากพิจารณาจากการขยายตัวของกำไร บจ. เทียบกับค่า PER ของตลาด (SET) พบว่า หาก บจ. มีอัตราการขยายตัวของกำไรเพิ่มขึ้น จะทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น และค่า PER ของตลาดปรับตัวสูงขึ้นในทิศทางเดียวกัน และหากอัตราการขยายตัวของกำไรลดลง จะทำให้ค่า PER ของตลาดลดลง เพราะราคาหุ้นปรับตัวลง

อีกทั้งพบว่าช่วง 9 เดือนแรกปี 2559 กำไรของ บจ .ขยายตัว 33% จากปีก่อน และ คาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 38% จากปีก่อน เมื่อสิ้นปี 2559 จะส่งผลต่อราคาหุ้นให้มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกเล็กน้อยจากระดับ 1,520 ในปัจจุบัน แต่หลังจากนั้นมีโอกาสที่จะผันผวน เนื่องจากประมาณการของ Bloomberg พบว่า ปี 60 กำไร บจ. จะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงสู่ระดับ 10% จากปีก่อน ซึ่งจะกดดันให้ราคาหุ้นอ่อนตัวลงได้ในที่สุด

ดังนั้น หากฝ่ายวิจัยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่น และราคาหุ้นยังปรับตัวไม่สูงมากนัก โดยเลือกหุ้นเด่นในแต่ละกลุ่ม ดังนี้

หุ้น EPG ราคาเป้าหมายที่ 17.50 บาท ในปี 60 กำไรโตต่อ 19.2% จากยอดขายอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ที่โตเด่นตามการฟื้นตัวของยอดขายยานยนต์ในประเทศ รวมถึงยอดขายฉนวนยางฯ มีการเติบโตที่ดี ในตลาดสหรัฐฯ และเริ่มเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรใหม่ประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้หนุนยอดขายและมาร์ ขณะที่ปัจจุบันราคาหุ้นมี Upside 36.7%

รองลงมาหุ้น APCO ราคาเป้าหมายที่ 1.89 บาท ในปี 60 คาดจะได้เห็นพัฒนาการที่โดดเด่นหลังร่วมทุนกับพันธมิตรถึง 3 ราย ซึ่งจะช่วยเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆ ให้กับ APCO ขณะที่ฐานะการเงินถือว่าแข็งแกร่ง ไม่มีหนี้ที่มีดอกเบี้ยจ่ายเลย อีกทั้งราคาหุ้นยังมี Upside 16.7% พร้อมคาดให้ Div. Yield ปี 59 ราว 2.6%

หุ้น WICE ราคาเป้าหมายที่ 5.25 บาท จากแผนลงทุนซื้อที่ดินเพื่อทำคลังสินค้า ใกล้บริเวณท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี บวกกับแผนสยายปีกไปธุรกิจขนส่งข้ามประเทศด้วยรถบรรทุก ซึ่งคาดหนุนกำไรปี 60-61 โตเฉลี่ยปีละ 37.8% อีกทั้งยังมี Upside 47.5% และคาดให้ Div. Yield ปี 59 ราว 2.7%

หุ้น TWPC ราคาเป้าหมายที่ 11.80 บาท หลังจากควบรวมกิจการระหว่าง TWFP และ TWS พร้อมกับขยายกำลังการผลิต ทั้งวุ้นเส้น (เพิ่มอีก 5%), เส้นก๋วยเตี๋ยว (เพิ่มอีก 268%) และแป้งมันสำปะหลัง (เพิ่มอีก 32%) บวกกับแผนธุรกิจใหม่ๆ คาดหนุนกำไรปี 60-61 โตเฉลี่ยปีละ 11.8% อีกทั้งยังมี Upside 33.3% และคาดจ่ายเงินปันผลจากกำไรช่วงครึ่งหลังปี 59 หุ้นละ 0.37 บาท คิดเป็น Div. Yield 4.2%

หุ้น BH ราคาเป้าหมายที่ 220 บาท ปี 60 คาดกำไรจะเริ่มเติบโตดีขึ้น 10% เมื่อเทียบจากปีก่อน ตามจำนวนผู้ป่วยตะวันออกกลางกลับมาใช้รักษาตามปกติหลังราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว และล่าสุดยังร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ 20 ประเทศทั่วโลกเพื่อรับส่งต่อผู้ป่วยมารักษาในไทย นอกจากนี้ราคาหุ้นปัจจุบันยังนับเป็น Laggard Play หลังซื้อขายด้วย PER ปี 60 ที่ 31.7x ซึ่งต่ำสุดในกลุ่ม

หุ้น LPH ราคาเป้าหมายที่ 11.80 บาท ปี 60 มีแผนเปิดศูนย์เฉพาะทาง (Excellent Center)" ที่อาคารใหม่ 6 ชั้น เพื่อเพิ่มกำลังบริการและยกระดับการรักษาให้ได้มาตรฐานเตรียมรองรับตลาดผู้ป่วยต่างชาติ ซึ่งคาดหนุนศักยภาพทำกำไรให้โตเด่นในช่วง 2-3 ปีนี้ โดยปี 60 คาดกำไรโต 15.3% (รองจาก BCH) ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันเทรดด้วย PER ปี 60 ที่ 36.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 38.2 เท่า อีกทั้งยังมี Upside 23% และคาดให้ Div. Yield ปี 59 ราว 2.4% สูงสุดในกลุ่ม

หุ้น BJC ราคาเป้าหมายที่ 55 บาท ปี 60 คาดกำไรปกติโตก้าวกระโดด 104.4% จากปี 59 ที่คาดโต 79.2% จากการรับรู้ผลดำเนินงานเต็มปีเป็นครั้งแรกของ BIGC หลังเข้าซื้อกิจการ และเริ่มมีกำลังซื้อและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น อีกทั้งยังมีแผนขยายกำลังผลิตธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อรองรับดีมานด์ทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น

หุ้น KAMART ราคาเป้าหมายที่ 15.90 บาท คาดว่าปี 60 กำไรปกติโตเด่นอีก 23.9% จากปี 59 ที่คาดว่าจะโต 35.1% ส่วนราคาหุ้นปัจจุบันเทรดด้วย PER ปี 60 ที่ 23.3 เท่า ยังถูกกว่า BEAUTY ที่เทรดด้วย PER 37.7เท่า

หุ้น CENTEL ราคาเป้าหมาย 46 บาท ในปี 60 คาดกำไรปกติโต 11.2% จากธุรกิจอาหารคาดว่าจะโต 5-6% ด้วยกำลังซื้อที่ดีขึ้นและมีแผนขยายสาขาอีก 50 แห่ง และธุรกิจโรงแรมคาดโต 3-4% หลังธุรกิจท่องเที่ยวไทยยังสดใส นอกจากนี้ CENTEL ยังมีแผนรับบริหารโรงแรมใหม่ 4 แห่ง (รวม 897 ห้อง) และปลายปีมีแผนเปิดโรงแรมใหม่ COSY (2 ดาว 151 ห้อง)

หุ้น ARROW ราคาเป้าหมาย 19.90 บาท คาดได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ หนุนกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยปี 59 คาดมีกำไร 276 ล้านบาท โต 12.2% และโตต่อเฉลี่ย 12.1% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า (60-61)

หุ้น MAJOR ราคาเป้าหมายที่ 38.20 บาท มองข้ามไปปี 60 คาดกำไรปกติพลิกโตเด่น 32.9% จากบรรยากาศเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และการเริ่มรับรู้รายได้จากสาขาใหม่ๆ ทั้งนี้เรามองการขยายสาขาของ MAJOR นอกจากจะทำให้ Coverage ในพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้นแล้ว ส่งผลให้มีอำนาจต่อรองสูง และยังได้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาดอีกด้วย

หุ้น SAWAD ราคาเป้าหมายที่ 65 บาท ปี 60 คาดกำไรโตโดดเด่นกว่า 32.2% จากยอดปล่อยสินเชื่อที่ยังเร่งตัวตามจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทได้ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มอีกราว 300-400 แห่ง ขณะที่ธุรกิจบริหารหนี้เสียก็เริ่มมีพัฒนาการดีขึ้น อีกทั้งปัจจุบันยังมี Upside สูงกว่า 71%

และหุ้น LIT ราคาเป้าหมายที่ 15.50 บาท โดยปี 60 คาดกำไรโต 36.5% จากยอดปล่อยสินเชื่อ Factoring ที่ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก และยังสามารถใช้เป็นฐานต่อยอดให้บริการสินเชื่อประเภทอื่นๆ และคาดให้ Div. Yield ปี 60 ราว 2.9%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ