TOP คาด GRM ปี 60 ใกล้เคียงปี 59 ที่อยู่ในเกณฑ์ดี,ธุรกิจอะโรเมติกส์ยังอ่อนแอต่อเนื่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 14, 2017 11:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) คาดว่าค่าการกลั่น (GRM) ในปี 60 จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 59 ที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำจะกระตุ้นให้เกิดการใช้มากขึ้น โดยประเมินว่าราคาน้ำมันดิบในปีนี้จะอยู่ในช่วง 50-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากราว 43 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีที่แล้ว อีกทั้งมีโรงกลั่นหลายแห่งปิดซ่อมบำรุง ซึ่งรวมถึงบมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ที่หยุดซ่อมบำรุงในเดือน ก.พ.นี้ด้วย ขณะเดียวกันกำลังการกลั่นใหม่ที่เข้าสู่ตลาดมีไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจอะโรเมติกส์ในปีนี้ น่าจะยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับปี 59 หลังยังมีภาวะโอเวอร์ซัพพลายอยู่ เนื่องจากโรงงานพาราไซลีนใหม่จากอินเดียและซาอุดิอาระเบียที่เข้ามาสู่ตลาด ซึ่งจะกดดันราคาพาราไซลีน (PX) ต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและยางมะตอย ยังคงมีความกังวลมาร์จิ้นการผลิตสาร Bitumen ที่อาจจะแคบลง หลังราคาน้ำมันเตา ซึ่งเป็นวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนของการใช้ผลิตภัณฑ์ยางมะตอยมากนัก

"มีผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์และสาร Bitumen ที่ยังเป็นห่วง ส่วนตัวอื่น ๆ ไม่น่าห่วง ส่วนของธุรกิจโรงกลั่น GRM น่าจะใกล้คียงกับปี 2559 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และไทยออยล์ยังเป็นบริษัทที่มีต้นทุนต่ำด้วย...เรามีความมั่นใจว่าปี 2560 ตลาดก็ดี operation ก็ดี ทีมงานก็ดีพร้อมที่จะยังรักษาไขว่คว้าโอกาสในปี 2560 เหมือนกับในปี 2559 "นายอธิคม กล่าว

นายอธิคม กล่าวอีกว่า สำหรับอัตราการใช้กำลังการกลั่นในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ที่ระดับ 100-103% ซึ่งเป็นเป้าหมายการดำเนินงานตามปกติ แต่ก็มีโอกาสที่จะใช้อัตรากำลังกลั่นได้ถึงระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ระดับ 108% หรือราว 3 แสนบาร์เรล/วัน เนื่องจากในปีนี้บริษัทไม่มีแผนหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น อีกทั้งความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในประเทศน่าจะยังเติบโตได้ตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่คาดเติบโตราว 3.3% แต่ทั้งนี้ยังต้องรอดูปริมาณวัตถุดิบที่จะนำเข้าสู่โรงกลั่นด้วยว่าจะสามารถใช้กำลังการกลั่นได้สูงเหมือนในปีที่แล้วหรือไม่

สำหรับในปีที่ผ่านมาบริษัทคาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันพอสมควร เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในช่วงปลายปีปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ราว 53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากราว 35 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในช่วงต้นปี ทำให้มีส่วนต่างมากถึงราว 17 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เมื่อเทียบกับปี 58 บริษัทมีขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน

ด้านแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนราว 5-6 พันล้านบาท ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อรองรับโครงการในอนาคต ได้แก่ การสร้างถังน้ำมันเพิ่มรองรับการสำรองน้ำมันตามกฎหมายที่จะเพิ่มขึ้นตามกำลังผลิต, การขยายสถานีจ่ายน้ำมันทางรถ (Lorry Loading) ,สร้างสำนักงานใหม่ที่ศรีราชา เป็นต้น

ส่วนในระยะ 5 ปีข้างหน้าบริษัทยังมีโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (Clean Fuel Project:CFP) ที่มีเป้าหมายจะขยายกำลังการกลั่นน้ำมันเป็นระดับ 4 แสนบาร์เรล/วัน จาก 2.75 แสนบาร์เรล/วันในปัจจุบันนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างทำเอกสารเชิญประมูล คาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการได้ประมาณไตรมาส 2/60 หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการ Bidding ซึ่งคาดว่าจะรู้รายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกดำเนินการในช่วงปลายปีนี้

ขณะที่โครงการผลิตสาร Linear Alkyl Benzene (LAB) กำลังผลิตประมาณ 1 แสนตัน/ปีที่เปิดดำเนินการไปในปีที่แล้วนั้น บริษัทมีแผนจะขายผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดในประเทศมากขึ้นเป็นระดับ 60% จากเดิมที่ 40% หลังผู้ใช้รายใหญ่ในประเทศให้ความสนใจใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มขึ้น โดย LAB เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและสารซักล้าง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ