หุ้น ETE ปิดเทรดวันแรกที่ 5.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.55 บาท (+36.90%) จากราคาขาย IPO ที่ 4.20 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 2,240.58 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 7.05 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 7.55 บาท และราคาลงต่ำสุด 5.60 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ บมจ.บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง (ETE) ไว้ที่ 5.10 บาท คิดเป็น PER 20 เท่าสำหรับปี 2560 โดยใช้ค่าเฉลี่ยระหว่างธุรกิจที่ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าและบริการ/รับเหมาตามสัดส่วนของผลประกอบการ เนื่องจากผลประกอบการในปี 2560 เป็นต้นไปธุรกิจจะมีกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เข้ามาเป็นผลประกอบการหลักคิดเป็นสัดส่วนเกิน 60% เมื่อเทียบกับธุรกิจเดิมที่แม้จะมีรายได้สูงแต่มีอัตรากำไรที่ต่ำ
ETE ปัจจุบันบริษัทประกอบธุรกิจหลักแบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่ 1) ธุรกิจบริการบริหารจัดการ (สัดส่วนรายได้ 57.32%) แบ่งได้เป็น 1. การบริหารจัดการบุคลากรตามที่ลูกค้าต้องการเช่น พนักงานธุรการ พนักงานขับรถ ช่าง และพนักงานทั่วไป รวมถึงการจัดหาตำแหน่งงานตามที่ลูกค้ากำหนด 2. การบริหารจัดการระบบงานธุรกิจเป็นงาน Outsource งานตามที่ลูกค้าต้องการ เน้นงานประเภทจดหน่วย-อ่านมาตร และงานบันทึกข้อมูล 3. งานบริหารจัดการรถเช่าพร้อมพนักงาน
2) กลุ่มธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม (สัดส่วนรายได้ 42.33%) เน้นการจ้างผู้รับเหมาช่วงพร้อมเครื่องจักรและเครื่องมือ โดยมีทีมวิศวกรของบริษัทเป็นผู้ควบคุม โดยแบ่งงานได้เป็น 2 ลักษณะคือ 1. บริการงานวิศวกรรมระบบไฟฟ้าทั้งการติดตั้งและปรับปรุงระบบสายส่งไฟฟ้า 2. บริการงานวิศวกรรมระบบโทรคมนาคมแบ่งตามลักษณะงานได้ 3 ประเภท 1. งานบริการสำรวจออกแบบ 2. บริการปรับปรุงเสาส่งสัญญาณโทรคมนาคม 3. บริการติดตั้งระบบชุมสายโครงข่ายสื่อสาร
โครงการอนาคต บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 4 โครงการ เริ่มรับรู้รายได้ 1 ม.ค. 2560 และมีอายุสัญญา 25 ปี โดยมีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 16.47 เมกะวัตต์ ในอัตราการรับซื้อ 5.66 บาท/หน่วย โดยได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้วในวันที่ 29-30 ธ.ค.59 และใช้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินในการลงทุน