บล.กสิกรไทย มอง SET ปีนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,360-1,570 ปรับขึ้นยาก แต่หากลงก็ไม่แรง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 21, 2017 18:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า มองดัชนีหุ้นไทยปีนี้น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,360-1,570 จุด บน P/E ระดับ 13-15 เท่า ภายใต้คาดการณ์การเติบโตของกำไรสุทธิ/หุ้น (EPS Growth) อยู่ที่ 104.6 บาท/หุ้น ขณะที่โอกาสการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยในปีนี้จะเป็นไปได้ยาก แต่หากปรับลดลงก็คงจะไม่อยู่ในระดับที่รุนแรง เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังมีประสิทธิภาพที่ดีอยู่ ขณะที่การเทรดของนักลงทุนจะเป็นในลักษณะการเทรดสลับกลุ่มลงทุน ไม่ได้ปรับขึ้นทั้งตลาดเหมือนปีก่อน

"ภาพโดยรวมของตลาด มองว่าน่าจะปรับตัวขึ้นยากมาก จากเล่นกันด้วยเงินภายในประเทศ แต่คงจะไม่ปรับลงมาในระดับที่รุนแรง ซึ่งการเคลื่อนไหวของ SET ในปีนี้เราคิดว่าคงจะไม่แพงเหมือนปีก่อน ซึ่งน่าจะเทรดกันอยู่ที่ 13-15 เท่า ภายใต้ EPS 104.6 บาท/หุ้น"นายประกิต กล่าว

นายประกิต กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่เห็นเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก แต่จะมีเข้ามาซื้อพันธบัตรบ้าง โดยเฉพาะในพันธบัตรระยะสั้น หรือเข้ามาเก็งกำไรในค่าเงินบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และเป็นการแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ไทยมีดุลบัญชีการค้าค่อนข้างดี ดุลบัญชีเดินสะพัดก็เป็นบวกต่อเนื่อง รวมถึงภาพของการส่งออกก็พลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกอีกด้วย จึงทำให้เห็นการเก็งกำไรในค่าเงินบาท

นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิอยู่ในระดับเพียง 4,000 ล้านบาท ขณะที่ในตลาดอนุพันธ์จะเห็นได้ว่ามีการเปิดสถานะ Short ไว้ตั้งแต่ต้นปีจำนวนราว 3 หมื่นสัญญา ซึ่งอาจจะเป็นการเปิดสถานะ Short เพื่อไปปิดสถานะ long ที่เปิดค้างไว้ตั้งแต่ปีก่อนจำนวนราว 2 แสนสัญญา หรือเป็นการเปิด Short ใน Series M ,Series U เป็นต้น ซึ่งเป็นการแสดงถึงมุมมองของนักลงทุนต่างชาติในระยะยาวที่ยังไม่ดีนัก

ทั้งนี้ การที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยน้อยนั้น ส่งผลให้ยังไม่มีเม็ดเงินใหม่ ๆ เข้ามา เนื่องจากภาพบรรยากาศในปีนี้จะตรงกันข้ามกับปีที่ผ่านมา ที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ,ดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ขาลง ,ราคาน้ำมันปรับตัวดลง และตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานตามตลาดหุ้นทั่วโลก ประกอบกับผลตอบแทนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ตลาดพันธบัตรให้ผลตอบแทนต่ำมาก ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เช่น ในตลาดเกิดใหม่ จาก valuation ที่ถูก รวมถึง EPS ปี 59 ก็อยู่ในระดับสูง หรือเติบโตราว 37% จากปี 58 ที่อยู่ที่ 70 บาท/หุ้น

ส่วนในปีนี้อัตราเงินเฟ้อได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ,ดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ขาขึ้น ,ราคาน้ำมันก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยประเมินราคาน้ำมันดิบปีนี้อยู่ที่ระดับ 54 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และมีโอกาสปรับขึ้นไปอยู่ที่ 60-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปริมาณการใช้น้ำมันและการสต็อกน้ำมันสมดุลกัน อีกทั้งตลาดหุ้นไทยก็ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาราว 20% โดย P/E ปัจจุบันกลับมาที่ 15 เท่า ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (dividend yield) ก็ไม่ได้จูงใจ ซึ่งคาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่จะจ่ายในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค.60 จะอยู่ที่ 1.9% หรือทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 2.9% เท่านั้น

ดังนั้น จึงเห็นว่าเม็ดเงินลงทุนใหม่ ๆ จะยังไม่ไหลเข้ามา และยังเสี่ยงต่อการที่จะมีเงินไหลออก หากค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นซึ่งน่าจะมีผลมาจากการดำเนินนโยบายการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ,การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ,การเลือกตั้งในยุโรป และการดำเนินการขั้นตอนออกจาสหภาพยุโรปของอังกฤษ (brexit) ส่งผลต่อค่าเงินปอนด์อ่อนค่า รวมถึงค่าเงินยูโรอ่อนค่าด้วย เป็นต้น ซึ่งน่าจะเป็นตัวกดดันให้เม็ดเงินไหลออกได้

สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุนในปีนี้ คือ กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ,PTTEP,BANPU กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น BBL ,KTB และหุ้นที่มีกำไรสุทธิเติบโตสูง เช่น MEGA ,TKN,BEAUTY,BIG ขณะที่หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง คือ กลุ่มสื่อสาร จากการรับรู้ค่าเสื่อมใบอนุญาตเต็มปีในปีนี้ ,รับเหมาก่อสร้าง ,อสังหาริมทรัพย์ ,วัสดุก่อสร้าง และค้าปลีก จากภาวะดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อยอดซื้อบ้านลดลง และตลาดสินค้าอุปโภค-บริโภคซบเซา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ