(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ในกรอบแคบ ขาดปัจจัยหนุน รอดูการแถลงนโยบาย"ทรัมป์"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 23, 2017 09:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ในกรอบแคบ เนื่องจากตลาดฯไม่มีปัจจัยหนุน ขณะเดียวกันราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงเล็กน้อย จากความกังวลเงินดอลลาร์สหรัฐฯกลับมาแข็งค่า หลังจากที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หลายสาขาได้ให้ความเห็นว่า ถึงเวลาที่เฟดน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในวันที่ 14-15 มี.ค.นี้ จากเดิมที่คาดว่าจะปรับขึ้นในเดือนมิ.ย.

ส่วนบ้านเราก็คงจะแกว่งไซด์เวย์เล่นรายตัวตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยประกาศออกมา อีกทั้งตลาดบ้านเราก็ถือว่าไม่ถูกด้วย นอกจากนี้ทางแบงก์ชาติก็ว่า NPL ยังอยู่ในระดังสูงทำให้เป็นแรงกดดันให้กับกลุ่มแบงก์

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบ โดยต่างรอดูการแถลงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันที่ 28 ก.พ.นี้ ซึ่งก็คาดการณ์ว่า"ทรัมป์"อาจจะประกาศใช้นโยบายลดภาษี ซึ่งก็ทำให้มีการเข้ามาเล่นเก็งหุ้นในสหรัฐฯกัน

พร้อมให้แนวรับ 1,566 จุด ส่วนแนวต้าน 1,580 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (22 ก.พ.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,775.60 จุด เพิ่มขึ้น 32.60 จุด (+0.16%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,860.63 จุด ลดลง 5.32 จุด (-0.09%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,362.82 จุด ลดลง 2.56 จุด (-0.11%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.05 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 2.39 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 79.78 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 4.70 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 0.46 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 2.39 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.46 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (22 ก.พ.60) 1,572.04 จุด เพิ่มขึ้น 7.62 จุด (+0.49%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 896.87 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 ก.พ.60
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (22 ก.พ.60) ปิดที่ 53.59 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 74 เซนต์ หรือ 1.4%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (22 ก.พ.60) ที่ 5.79 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 35.01 แนวโน้มแข็งค่าตามภูมิภาค หลังรายงานเฟดกดดอลล์อ่อน
  • นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 ก.พ.นี้ จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมาตรการภาษีบุคคลธรรมดาสำหรับบุคคลมีความสามารถที่เข้ามาทำงานในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี)
  • "พิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา" กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการส่งออกของไทยปีนี้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ที่การส่งออกขยายตัวได้ที่ 0.5% ขยายตัวดีกว่าค่าเฉลี่ยการส่งออกของโลกที่ติดลบ 3% และปีนี้คาดว่าการส่งออกจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว สอดรับกับเป้าหมายการส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์คาดว่าทั้งปีจะโต 3.5-4%
  • เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า จะเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมหลายด้าน โดยเฉพาะโครงข่ายพื้นฐานแบบไร้สาย ซึ่งปัจจุบันมีคลื่นความถี่ใช้งานอยู่ 420 เมกะเฮิรตซ์เท่านั้น ทำให้การใช้งานข้อมูลบนมือถือเริ่มมีปัญหา
  • นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดการส่งออกรถยนต์ สำเร็จรูปลดลง 14.53% ต่ำสุดในรอบ 19 เดือน อยู่ที่ 80,097 คันเนื่อง จากการส่งออกรถกระบะที่ลดลงในเกือบทุกตลาด ยกเว้นตลาดออสเตรเลียและอเมริกาเหนือ คิดเป็นมูลค่าการส่งออกที่ลดลง 18.1% อยู่ที่ 41,424.68 ล้านบาท ขณะที่ยอดส่งออกรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น 18.85% อยู่ที่ 85,637 คัน คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 6.73% อยู่ที่ 4,504.48 ล้านบาท
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ฉบับย่อ) ว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มชัดเจนมากขึ้น แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอยู่มากในระยะต่อไป โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง และความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะสหรัฐ ปัจจัยเหล่านี้อาจกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและการส่งออกไทยอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งยังมีความเสี่ยงที่สืบเนื่องจากปัญหาภาคการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีน และความไม่แน่นอนทางการเมือง และปัญหาภาคธนาคารในยุโรป คณะกรรมการจึงจะติดตามพัฒนาการของปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวต่อไปอย่างใกล้ชิด

*หุ้นเด่นวันนี้

  • MGT (บมจ.เมกาเคม (ประเทศไทย))เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ mai โดยราคาขาย IPO 1.89 บาท/หุ้น ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินราคาพื้นฐาน 2.70 บาท (PE 20 เท่า) แม้กำไรสุทธิปี 2559 คาด -33% Y-Y จากการปรับโครงสร้างองค์กร แต่คาดปี 2560-2561 จะกลับมาโตเฉลี่ย 45% ต่อปี ตามการเติบโตของธุรกิจยานยนต์และอสังหาฯ เพิ่มสินค้า และขยายตลาด

บมจ.เมกาเคม (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษที่ใช้เป็นส่วนเติม (additive) ในส่วนประกอบหลัก เพื่อทำปฏิกิริยาเคมีให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติตามที่ต้องการ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆโดยเฉพาะยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์ การแข่งขันไม่รุนแรง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวในระดับสูงกว่า 25%

  • IT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 4.70 บาท ผลประกอบการ 4Q59 พลิกเป็นขาดทุนสุทธิ 9 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายปรับปรุงสาขาและเปิดสาขาใหม่ การตัดจำหน่ายซอฟแวร์และตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ ทำให้กำไรสุทธิทั้งปี -31% Y-Y แต่กำไรปกติ +27% Y-Y ฟื้นต่อเนื่องปีที่ 2 โดยคาดกำไรปีนี้โตต่อ +267% Y-Y จากการลดขนาดสาขา ใช้พื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ รุกขายมือถือร่วมกับ Mobile Operator โดยหุ้น IT มีโอกาสปรับขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นซื้อคืน โดย IT ประกาศซื้อหุ้นคืน 65 ล้านหุ้น ที่ราคา 4.00 บาท 8-19 พ.ค.นี้
  • SCB (ยูโอบี เคย์เฮียน) Laggard play ในกลุ่มการเงิน ราคาที่ลดลงสะท้อนการเพิ่มขึ้นของ NPL ในไตรมาส 4/59 ไปแล้ว ขณะที่ภาระการตั้งสำรองในอนาคตน่าจะต่ำกว่าธนาคารใหญ่อื่น จากหนี้ SSI ถูกจัดชั้นพิเศษ ยังไม่ถูกรับรู้ในราคาหุ้นนอกจากนี้การจัดโครงสร้างบ.ย่อยในธุรกิจประกันคาดส่งผลบวกต่อบริษัท
  • VNG (ไอร่า) เป้า 18 บาท ปี 59 คาด VNG เติบโตได้ในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรม หลังยอดส่งออก MDF และ PB ในปี 59 อยู่ที่ 2.64 ล้านลบม. และ 2.27 ล้านลบม. เพิ่มขึ้น 9% และ 21% ตามลำดับ และเป็นปริมาณส่งออกที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และคาดกำไรสุทธิ 1,525 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% คาดเงินปันผล 0.40 บาท/หุ้น (คาดคงเหลือจ่าย 2H/59 ประมาณ 0.20 บาท) พร้อมคาดผลดำเนินงานในปี 60 ยังคงเติบโตดีต่อเนื่อง และมีโอกาสทำ New High ภายใต้การปรับปรุงประสิทธิภาพสายการผลิตในช่วงที่ผ่านมา คาดช่วยลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลง รวมถึงขยายกำลังการผลิตไปยัง Finished Product คาดรายได้ขาย 12,583 ล้านบาท +14% และคาดกำไรสุทธิ ประมาณ 1,884 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ