ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม บล.ภัทร ที่ “A-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 4, 2017 17:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บล.ภัทร ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักสำคัญของธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) (ได้รับอันดับเครดิต “A-/Stable" จากทริสเรทติ้ง) เนื่องจาก บล. ภัทร สร้างผลกำไรอย่างมีนัยสำคัญและมีความใกล้ชิดกับกลุ่มธุรกิจเกียรตินาคินภัทรเป็นอย่างมาก

อันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในกลุ่มลูกค้าสถาบันและลูกค้าบุคคลรายใหญ่ ตลอดจนความเป็นผู้นำในธุรกิจวาณิชธนกิจและภาพลักษณ์ที่ดีจากประสบการณ์อันยาวนานด้วย

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์และแรงกดดันต่ออัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จากสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกัน การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทซึ่งทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดก็มีผลต่ออันดับเครดิตด้วยเช่นกัน

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่า บล. ภัทรจะสามารถคงความเป็นผู้นำในธุรกิจวาณิชกิจและธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงซึ่งแฝงอยู่ในธุรกิจการลงทุนและผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ ได้ด้วยเช่นเดียวกัน แนวโน้มที่อันดับเครดิตของ บล. ภัทรจะปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นขึ้นอยู่กับสถานะเครดิตของบริษัทแม่คือธนาคารเกียรตินาคินเป็นสำคัญ

KKP ได้กลายมาเป็นบริษัทแม่ของ บล. ภัทรในเดือนกันยายน 2555 หลังจากที่ธนาคารได้เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 99.9% ใน บมจ.ทุนภัทร ซึ่งถือหุ้นของบริษัทในสัดส่วน 99.9% บล.ภัทรได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านธุรกิจและด้านการเงินจาก KKP อีกทั้งยังได้ขยายฐานลูกค้าโดยใช้ฐานลูกค้าของธนาคารด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าที่มีฐานะการเงินที่ดี ทั้งนี้ การเป็นบริษัทลูกของ KKP ทำให้บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจำนวนมาก ซึ่งแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมนี้ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานให้แก่ บล. ภัทร

นอกจากนี้ บล. ภัทรยังสร้างกำไรได้มากถึง 1 ใน 4 ของกำไรสุทธิของ KKP โดยเฉลี่ยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นการสร้างกำไรให้แก่กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ ทริสเรทติ้งจึงถือว่า บล. ภัทรมีสถานะเป็นสมาชิกหลักของกลุ่ม

บล. ภัทรมีฐานลูกค้านักลงทุนสถาบันและมีโครงสร้างธุรกิจที่เข้มแข็งในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Bank of America Merrill Lynch (ML) ช่วยให้บริษัทได้ใช้ประโยชน์จากแหล่งข้อมูล รวมทั้งความเชี่ยวชาญ และเครือข่ายนักลงทุนทั่วโลกของ ML งานวิจัยของบริษัทก็ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพระดับแนวหน้าของประเทศ ทั้งนี้ ส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทในส่วนของนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศในปี 2559 ยังอยู่ในระดับสูงที่ 9.6% และ 9.1% ตามลำดับ

จุดแข็งอีกประการหนึ่งของบริษัทคือการให้บริการที่ปรึกษาการลงทุนซึ่งบริษัทเน้นลูกค้าบุคคลรายใหญ่โดยมีทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ การให้บริการที่แตกต่างทำให้บริษัทสามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคากับบริษัทหลักทรัพย์อื่นได้

บล. ภัทรมีประสบการณ์ในด้านวาณิชธนกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน บริษัทมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แน่นแฟ้นกับบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากอีกทั้งยังมีเครือข่ายให้บริการครอบคลุมทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศที่เข้มแข็งอีกด้วย รายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจของบริษัทตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับเฉลี่ย 277 ล้านบาทต่อปี (คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดราว 14%) ภายหลังการควบรวมกิจการกับธนาคารเกียรตินาคินทำให้ปัจจุบันบริษัทสามารถให้บริการทางการเงินที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในการระดมทุนของลูกค้า การควบรวมดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจวาณิชธนกิจของบริษัทต่อไปในระยะยาว

บริษัทได้มีการขยายวงเงินในธุรกิจการลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้ว่ากลยุทธ์การลงทุนของบริษัทจะมีลักษณะที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่ผันผวนตามการเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม แต่การเพิ่มขึ้นของธุรกรรมที่มีความเสี่ยงแฝงอยู่เหล่านี้ย่อมเป็นปัจจัยที่กระทบต่อความเสี่ยงโดยรวมของบริษัท ทริสเรทติ้ง คาดหวังว่าระบบบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทจะยังคงมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากธุรกิจการลงทุนของบริษัทได้

ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ในปี 2559 บริษัทมีกำไรสุทธิ 828 ล้านบาท ลดลง 21% จากกำไรสุทธิในปี 2558 ที่ระดับ 1,052 ล้านบาท ในขณะที่กำไรเฉลี่ยของทั้งอุตสาหกรรมในปี 2559 เพิ่มขึ้นประมาณ 19% แม้ว่าบริษัทจะมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่ลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม แต่บริษัทก็ยังมีอัตรากำไรก่อนภาษีต่อรายได้สุทธิที่ 39% ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ที่ระดับ 30% นอกจากนี้ บริษัทยังมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิอยู่ในระดับ 49% ในปี 2559 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 60%

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 บล. ภัทรมีส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 5,799 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัทจัดอยู่ในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่มีฐานเงินทุนขนาดใหญ่ 3 อันดับแรก แม้จะมีฐานเงินทุนขนาดใหญ่ แต่บริษัทก็จัดว่าเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีอัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อทุนที่สูงมากที่สุดแห่งหนึ่ง ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนนี้มาจากการขยายธุรกิจการลงทุนและการป้องกันความเสี่ยงจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่บริษัทให้บริการแก่ลูกค้า ณ สิ้นปี 2559 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ที่ 32% โดยเทียบกับเกณฑ์ขั้นต่ำของทางการที่ระดับ 7%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ