ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ ITD วงเงินไม่เกิน 6 พันลบ.ที่ระดับ “BBB-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 27, 2017 12:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2565 ของ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ที่ระดับ “BBB-" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB-" เช่นเดียวกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ในการชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิม

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะที่มั่นคงของบริษัทในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศ ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับและความสามารถในการรับงานก่อสร้างหลากหลายประเภท การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงโครงการที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมากและมีความหลากหลาย ตลอดจนแนวโน้มในเชิงบวกของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงและภาระหนี้ที่สูงของบริษัท รวมถึงความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการระยะยาว และลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

อันดับเครดิตของ ITD สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการมีผลงานที่ยาวนานและเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้ประกอบการรายใหญ่ในประเทศ บริษัทเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีรายได้สูงสุด สถานะทางธุรกิจของบริษัทยังได้รับแรงหนุนจากการมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับทั้งในโครงการภาครัฐและเอกชน บริษัทให้บริการงานก่อสร้างและงานวิศวกรรมอย่างครบวงจรจากพื้นฐานประสบการณ์และทรัพยากรที่มีอยู่ โดยบริษัทมีโครงการก่อสร้างทั่วประเทศและมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวช่วยให้บริษัทลดความเสี่ยงจากการระจุกตัวที่เกิดจากทั้งจำนวนลูกค้า ประเภทของงาน และทำเลที่ตั้งโครงการได้เป็นอย่างดี

การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงโครงการที่ยังไม่ส่งมอบจำนวนมากและมีความหลากหลายด้วย อีกทั้งโอกาสในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนอันดับเครดิต ทั้งนี้ โครงการต่าง ๆ ของภาครัฐซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นจะช่วยให้บริษัทเติบโตได้เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมในการประมูลงาน นอกจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศซึ่งเป็นธุรกิจหลักแล้ว บริษัทยังพยายามกระจายฐานรายได้โดยการขยายงานไปในต่างประเทศและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ด้วย ทั้งนี้ รายได้จากต่างประเทศส่วนใหญ่มาจากโครงการก่อสร้างในประเทศอินเดียผ่านการดำเนินงานของบริษัทย่อยแห่งหนึ่ง

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถประมูลงานใหม่จำนวนมากได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ รวมถึงเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและรักษาสภาพคล่องทางการเงินที่ดีเอาไว้ได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มความเข้มแข็งของโครงสร้างเงินทุนให้มากขึ้นซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินงานในโครงการลงทุนระยะยาวได้โดยที่ยังคงรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้ต่ำกว่า 70% หรืออัตราส่วนเงินกู้ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 2.3 เท่าได้ในช่วงปี 2560-2562

สถานะการเงินที่อ่อนแอของบริษัททำให้โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัด ในขณะที่อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงถดถอย หรือบริษัทมีการกู้ยืมเงินจำนวนมากเพื่อใช้ลงทุนจนเป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับเกินกว่า 70% เป็นเวลานาน

ณ เดือนธันวาคม 2559 บริษัทมีมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบจำนวน 269,000 ล้านบาท โดยมูลค่างานดังกล่าวรวมโครงการสัมปทานก่อสร้างทางรถไฟและท่าเรือน้ำลึกในประเทศโมซัมบิกจำนวน 114,000 ล้านบาท และ โครงการสัมปทานทางด่วนในประเทศบังคลาเทศมูลค่า 37,700 ล้านบาทด้วย ซึ่งงานก่อสร้างหลักของทั้ง 2 โครงการยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการเหมืองหงสาในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) มูลค่าอีก 22,200 ล้านบาทซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วงปี 2558-2572 อีกด้วย

หากไม่นับรวมโครงการสัมปทานในประเทศโมซัมบิกและโครงการทางด่วนในประเทศบังคลาเทศแล้ว มูลค่างานในมือของบริษัทจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ประมาณ 70% ของประมาณการรายได้ในปี 2560 และคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ในปี 2561 และ 40% ในปี 2562 ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังชนะการประมูลงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มสัญญาที่ 3 ซึ่งมีมูลค่า 17,400 ล้านบาทด้วย อนึ่ง มูลค่างานในมือจำนวนมากจะช่วยรักษาระดับรายได้ของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า

สถานะทางการเงินของบริษัทในปี 2559 ต่ำกว่าประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง โดยรายได้ของบริษัทอยู่ที่ 47,369 ล้านบาท ลดลง 7.7% จากรายได้ที่เป็นสถิติสูงสุดในปี 2558 อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทในปี 2559 อยู่ที่ 8.5% เพิ่มขึ้นจาก 6.9% ในปี 2558 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 ของบริษัทเท่ากับ 71% เพิ่มขึ้นจาก 69.7% ณ สิ้นปี 2558 ภาระหนี้ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงเนื่องจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนและผลการดำเนินงานที่อ่อนแอ

ถึงแม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้น แต่บริษัทก็ยังคงมีผลการดำเนินงานขาดทุนในปี 2559 โดยบริษัทมีภาระดอกเบี้ยจ่ายประมาณ 2,400 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้บริษัทรายงานขาดทุนจำนวน 109 ล้านบาท เทียบกับปี 2558 ที่ขาดทุน 362 ล้านบาท ผลการดำเนินงานของบริษัทยังลดทอนลงจากเงินลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งบริษัทมีโครงการลงทุนระยะยาวอีก 5 โครงการ ได้แก่ โครงการเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย โครงการนิคมอุตสาหกรรมทวายในประเทศพม่า โครงการทางด่วนในประเทศบังคลาเทศ โครงการเหมืองแร่ Bauxite และโรงงาน Alumina ใน สปป. ลาว และโครงการสัมปทานก่อสร้างทางรถไฟและท่าเรือน้ำลึกในประเทศโมซัมบิก

ในปัจจุบัน บริษัทยังไม่มีการรับรู้รายได้จากการก่อสร้างหรือมีรายได้จากโครงการเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความล่าช้าในโครงการเหมืองแร่โปแตชและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้บริษัทลงทุนไปแล้วเกือบ 10,000 ล้านบาท

อันดับเครดิตของบริษัทยังมีข้อจำกัดจากโครงสร้างเงินทุนที่มีภาระหนี้สูงด้วยเช่นกัน โดยภาระหนี้ของบริษัทมาจากการกู้ยืมสำหรับโครงการลงทุนระยะยาวและเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนซึ่งส่งผลให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยจำนวนมากและมีสถานะการเงินอ่อนแอลง ภาระหนี้ของบริษัทยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในโครงการก่อสร้างใหม่ ๆ ซึ่งคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงในระยะปานกลาง ภาระหนี้ในระดับสูงยังคงเป็นปัจจัยกดดันอันดับเครดิต อีกทั้งบริษัทยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะความเสี่ยงของประเทศที่เข้าไปลงทุน รวมทั้งความเสี่ยงด้านกฎระเบียบซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อประโยชน์จากการลงทุน และเช่นเดียวกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายอื่น ๆ บริษัทยังต้องเผชิญกับลักษณะที่เป็นวงจรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งในช่วงวงจรขาลงจะส่งผลกระทบต่อกระแสรายได้ของบริษัทอีกด้วยเช่นกัน

ในช่วงปี 2560-2562 ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ (ไม่รวมรายได้จากโครงการระยะยาว 5 โครงการ) อยู่ในช่วง 50,000-55,000 ล้านบาทต่อปี อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับค่อนข้างคงที่และโดยเฉลี่ยน่าจะอยู่สูงกว่า 8% อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในช่วง 65%-70% หรืออัตราส่วนเงินกู้ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2-2.3 เท่า บริษัทน่าจะสามารถสร้างกระแสเงินทุนจากการดำเนินงานได้อย่างน้อย 2,500 ล้านบาทต่อปี โดยค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนคาดว่าจะอยู่ในระดับ 2,000-2,500 ล้านบาทต่อปี สภาพคล่องของบริษัทยังคงอ่อนแอจากการที่บริษัทมีเงินสดประมาณ 2,600 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 ในขณะที่ภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้ามีประมาณ 5,400 ล้านบาท ในช่วงปี 2560-2562 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมน่าจะอยู่ในระดับสูงกว่า 7% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายน่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 2 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ