ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้"ดีแทค ไตรเน็ต"วงเงินไม่เกิน 5 พันลบ.ที่ระดับ “AA+/Negative"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 27, 2017 15:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 5,500 ล้านบาทของ บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด ที่ระดับ “AA+" พร้อมทั้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “AA+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ “ลบ"

ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดใหม่ใช้แทนอันดับเครดิตหุ้นกู้เดิมที่ได้รับการจัดอันดับเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2560 เนื่องจากบริษัทมีความประสงค์จะเพิ่มวงเงินรวมของหุ้นกู้เป็นไม่เกิน 5,500 ล้านบาทจากเดิมไม่เกิน 5,000 ล้านบาท โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้เงินกู้ยืม รวมทั้งใช้ในการลงทุน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทในฐานะที่เป็นบริษัทย่อยรายสำคัญของ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) (อันดับเครดิต “AA+/Negative") ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่อันดับ 2 ของประเทศในด้านรายได้ การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ครอบคลุมและแนวโน้มการเติบโตที่ดีของอุปสงค์การใช้บริการด้านข้อมูลด้วย โดยที่อันดับเครดิตมีปัจจัยเสริมจากการที่บริษัทได้รับการสนับสนุนจาก Telenor ASA (Telenor) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลักของ DTAC อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงจากอุตสาหกรรมสื่อสารแบบไร้สายที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง รวมถึงจากผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงของบริษัทแม่ และการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อขยายโครงข่ายทั่วประเทศ

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น โดยในระยะปานกลางทริสเรทติ้งคาดว่าการแข่งขันในตลาดการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะยังคงรุนแรงและส่งผลลบและทำให้สถานะทางการเงินของ DTAC อ่อนแอลงจากการแข่งขันที่สูงและภาระหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากต้นทุนคลื่นความถี่ใหม่และภาระในการขยายโครงข่ายให้ครอบคลุม ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงใดใดที่กระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทแม่จะส่งผลต่ออันดับเครดิตของบริษัทตามไปด้วย

บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต เป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดโดย DTAC โดยบริษัทก่อตั้งในปี 2549 โดยในช่วงเริ่มแรกได้ให้บริการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ (International Direct Dialing -- IDD) ต่อมาในเดือนธันวาคม 2555 บริษัทได้รับใบอนุญาตอายุ 15 ปีในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่บนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิร์ทซ์ (Gigahertz -- GHz) ด้วยเทคโนโลยี 3G (Third Generation) และ 4G LTE (Long Term Evolution) โดยเปิดให้บริการในเดือนกรกฎาคม 2556 และในเดือนพฤษภาคม 2557 ตามลำดับ

อันดับเครดิตสะท้อนสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของ DTAC โดยพิจารณาจากทั้งการสร้างรายได้และกำไร รวมถึงฐานลูกค้า และบทบาทในการสร้างรายได้บนโครงข่ายภายใต้ใบอนุญาต บริษัทมีรายได้ในปี 2559 รวม 66,069 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปี 2558 หรือคิดเป็นสัดส่วน 80% ของรายได้รวมของบริษัทแม่และมีรายได้จากการให้บริการที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (Interconnection Charges -- IC) อยู่ที่ 58,720 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 90% ของรายได้จากการให้บริการที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายของบริษัทแม่ นอกจากนี้ บริษัทยังสร้างกำไรคิดเป็นประมาณ 50% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทแม่ด้วย

ทั้งนี้ DTAC มีส่วนควบคุมการดำเนินงานของบริษัทอย่างเต็มที่โดยผ่านช่องทางการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการของบริษัท

นอกจากนี้ บริษัทยังใช้ทรัพยากรและอุปกรณ์โครงข่ายร่วมกันกับบริษัทแม่ในการให้บริการแก่ลูกค้าด้วย ณ สิ้นปี 2559 บริษัทมีลูกค้าจำนวน 23.3 ล้านราย คิดเป็น 95% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดของบริษัทแม่ บริษัทถือเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานและพัฒนาโครงข่ายสื่อสารแบบไร้สาย ทั้งนี้ การให้บริการเทคโนโลยี 2G บนคลื่นความถี่ภายใต้ระบบสัมปทานของ DTAC จะหมดอายุลงในปี 2561 และจะมีการย้ายลูกค้าทั้งหมดไปอยู่บนโครงข่ายของบริษัทดีแทค ไตรเน็ต เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นดังกล่าวแล้ว ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ รวมไปถึงได้รับความช่วยเหลือทางการเงินในเวลาที่จำเป็น

การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทและโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ครอบคลุมด้วยเช่นกัน โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด 26% ของจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมดบนโครงข่าย 3G และ 4G ทั้งนี้ DTAC พยายามสร้างการเติบโตจากแหล่งรายได้อื่นเพื่อทดแทนรายได้จากการให้บริการด้านเสียงที่อิ่มตัวโดยเน้นบริการด้านข้อมูลให้มากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม อันดับเครดิตยังสะท้อนความต้องการในการใช้บริการข้อมูลที่เพิ่มสูงขึ้นอันสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง รวมไปถึงราคาเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ถูกลงยิ่งขึ้นอีกด้วย ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการมีสัดส่วนรายได้จากบริการข้อมูลที่สูงขึ้น

การสนับสนุนด้านการบริหารจัดการและเทคโนโลยีที่ Telenor มีให้แก่ DTAC เป็นปัจจัยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่อันดับเครดิตของบริษัท โดย Telenor เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านสื่อสารโทรคมนาคมจากประเทศนอร์เวย์และเป็นผู้ถือหุ้นหลักของ DTAC ธุรกิจในประเทศไทยถือว่ามีส่วนสำคัญในการสร้างรายได้ให้แก่กลุ่ม Telenor โดย DTAC ถือเป็นบริษัทที่สร้างรายได้ในระดับแนวหน้าในกลุ่มบริษัทที่ Telenor ลงทุนนอกประเทศนอร์เวย์ ความสำคัญดังกล่าวทำให้ทริสเรทติ้งคาดหวังว่า Telenor จะยังคงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ DTAC ในเวลาที่จำเป็นต่อไป

ในทางกลับกัน อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้งนี้ ในสภาวะที่ตลาดค่อนข้างอิ่มตัวและมีความอ่อนไหวต่อราคา ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะแข่งขันกันด้วยกิจกรรมทางการตลาด รวมถึงราคาแพคเกจ และการสนับสนุนค่าเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อที่จะรักษาฐานลูกค้าและส่วนแบ่งทางการตลาดของตนเอาไว้ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนที่บริษัทต้องใช้จำนวนมากเพื่อลงทุนขยายโครงข่าย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการยังจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงในเทคโนโลยี 4G เพื่อขยายโครงข่ายบริการให้ครอบคลุมอันเป็นผลจากอุปสงค์ของบริการข้อมูลที่พุ่งสูงขึ้น

เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างบริษัทและบริษัทแม่แล้ว อันดับเครดิตของบริษัทจึงมีระดับเท่ากับอันดับเครดิตของบริษัทแม่และเคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตของบริษัทแม่ด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตของ DTAC ที่ระดับ “AA+" โดยปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Negative" หรือ “ลบ" จาก "Stable" หรือ “คงที่" สัมปทานในการใช้คลื่นความถี่ 850 เมกะเฮิร์ทซ์และ 1800 เมกะเฮิร์ทซ์ที่จะหมดลงในเดือนกันยายน 2561 นี้ทำให้ DTAC จำเป็นจะต้องเข้าร่วมประมูลเพื่อให้ได้คลื่นความถี่ที่เพียงพอต่อการให้บริการ ซึ่งจะส่งผลให้ฐานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงในขณะที่ต้นทุนใบอนุญาตก็คาดว่าน่าจะอยู่ในระดับสูง

รายได้จากการให้บริการของบริษัทที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายอยู่ที่ 58,720 ล้านบาทในปี 2559 เพิ่มขึ้น 2.4% จากปีก่อน บริษัทมีอัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) เพิ่มขึ้นจาก 17.5% ในปี 2558 เป็น 19% ในปี 2559 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นยังคงได้รับแรงกดดันจากต้นทุนในการใช้โครงข่ายพร้อมกัน 2 โครงข่าย รวมทั้งจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจำนวนมาก และค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูง ในปี 2559 บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 10,365 ล้านบาท โดยลดลงเล็กน้อยจาก 10,659 ล้านบาทในปี 2558 และมีเงินกู้รวม 64,500 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการลงทุนในโครงข่าย ทั้งนี้ เงินกู้รวมดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นเงินกู้ยืมจากบริษัทแม่จำนวน 15,500 ล้านบาท

ทริสเรทติ้งคาดว่าในการประมูลคลื่นความถี่ใหม่ DTAC จะมอบหมายให้บริษัทเป็นผู้เข้าร่วมประมูล ซึ่งตามสมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าต้นทุนการได้มาซึ่งคลื่นความถี่ใหม่จะทำให้อัตราส่วนภาระหนี้สินของทั้งบริษัทและของบริษัทแม่เพิ่มขึ้นในระยะปานกลางได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับต้นทุนเงินลงทุนที่แท้จริงของคลื่นความถี่ใหม่ซึ่งยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายประการทั้งจำนวนคลื่นความถี่ที่จะประมูลหรือระดับความรุนแรงในการแข่งขันราคาประมูลและแผนการบริหารคลื่นความถี่ของภาครัฐที่จะออกมา

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทในช่วงปี 2560-2562 จะขยายตัวโดยมีแรงขับเคลื่อนจากการเติบโตของบริการด้านข้อมูลแต่ก็จะได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรง คาดว่าบริษัทจะมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งสะท้อนถึงต้นทุนจากส่วนแบ่งรายได้ (Regulatory Cost) และต้นทุนบริการข้ามเครือข่ายไปยังโครงข่ายภายใต้สัมปทานของบริษัทแม่ที่จะลดลงจากการโอนย้านฐานลูกค้ามาอยู่บนโครงข่ายของบริษัท สถานะทางการเงินของบริษัทในระยะปานกลางจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นและเข้าใกล้สถานะของบริษัทแม่

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนในช่วงปี 2560-2562 จำนวนประมาณ 55,000 ล้านบาทโดยยังไม่รวมต้นทุนค่าใบอนุญาตใหม่ ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าน่าจะปรับสูงขึ้นมากจากต้นทุนคลื่นความถี่ใหม่ที่สูงโดยที่อัตราส่วนสภาพคล่องน่าจะลดลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ