DCORP คาดพลิกกำไรตั้งแต่ Q3/60 หนุนทั้งปีบวกหลังลงทุนธุรกิจแอพพลิเคชั่นมีเดีย พร้อมเดินหน้าขยายพลังงาน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 19, 2017 12:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนิศ โอสถานุเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น (DCORP) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์" โดยคาดว่าบริษัทจะกลับมามีกำไรสุทธิในปีนี้ จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 86.30 ล้านบาท เป็นไปตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากราว 239.70 ล้านบาทในปี 59 หลังบริษัทจะเข้าซื้อหุ้น 30% ในบริษัท บลู ฟีนิกซ์ ดิจิตัล จำกัด (บลู ฟีนิกซ์) ซึ่งทำธุรกิจแอพพลิเคชั่นมีเดียที่มีศักยภาพในการทำกำไรสูง โดยคาดว่าการซื้อขายหุ้นจะแล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.จากนั้นจะช่วยผลักดันให้บริษัทเริ่มทำกำไรสุทธิได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/60 หลังจากไตรมาสแรกปีนี้ยังมีผลขาดทุนสุทธิ 16.96 ล้านบาท

ขณะเดียวกันในส่วนของธุรกิจพลังงาน ก็ยังมีศักยภาพการเติบโตโดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจประหยัดพลังงาน ที่ได้เข้าทำโครงการประหยัดพลังงานให้กับคู่ค้าที่เป็นห้างสรรพสินค้า อาคารประเภทอื่น ๆ โดยโครงการเหล่านี้นับว่ามีมาร์จิ้นดีก็จะช่วยหนุนผลการดำเนินงานในปีนี้ด้วย แม้ว่าการลงทุนใหม่ในส่วนธุรกิจผลิตไฟฟ้า ทั้งในส่วนการปรับปรุงโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ (ไบโอแก๊ส)ในจ.สุพรรณบุรี ขนาด 4.9 เมกะวัตต์ (MW) จะยังต้องใช้เวลาอีก 10-12 เดือนจึงจะเริ่มดำเนินการได้ และการเข้าซื้อหุ้น 40% ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ฟิลิปปินส์ ขนาด 50 เมกะวัตต์ อาจจะยังไม่แล้วเสร็จในระยะเวลาอันใกล้

"ในฐานะผู้บริหาร ผมก็ไม่สามารถการันตีได้ว่ากำไรหรือขาดทุน แต่ก็ต้องบอกว่าเราต้องทำให้พลิกกลับมามีกำไรให้ได้ เพราะเชื่อว่าใน vision ที่บอร์ดและพนักงานที่อยู่ตรงนี้มองใน 2 ธุรกิจหลัก เราเชื่อว่าในอนาคตพลังงานไม่หนี สองเรื่องอินโนเวชั่น อินเตอร์เน็ต ไม่หนี เราก็ต้องจับสองตัวนี้ โดยเอาอินโนเวชั่นมาคุมไว้ว่าอะไรเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ก็พยายามเข้าไปสัมผัสและเป็นเจ้าแรกในตลาดที่เป็น player ตรงนี้ เราเชื่อว่าจะสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้อย่างที่ต้องการ"นายอนิศ กล่าว

นายอนิศ กล่าวว่า การเข้าลงทุนในบลู ฟีนิกซ์ จะใช้เงินลงทุนไม่เกิน 74.37 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) เป็นตัวเลขสองหลัก เนื่องจากมองว่าตลาดเติบโตอย่างรวดเร็ว ธุรกิจของบลู ฟีนิกซ์ เป็นการถ่ายทอดสดออนไลน์ (Online Live Streaming Platform) ผ่านแอพพลิเคชั่น บนระบบ Finix TV ในอนาคตยังมองโอกาสพัฒนาไปสู่การไลฟ์ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การจัดคอนเสิร์ตออนไลน์ ,การทำข่าวไลฟ์ ,รายการท่องเที่ยวไลฟ์สดจากทุกมุมโลก เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันก็ได้ร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ อย่าง ค่ายเพลง ,นิตยสาร ,ช่องฟรีทีวี เป็นต้น ซึ่งช่วงทดลองเปิดตัวได้รับกระแสตอบรับที่ดีและสร้างรายได้เข้ามาต่อเนื่อง

บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการทำตลาดไปยังประเทศอื่น ๆ ที่มีกำลังซื้อ เช่น ประเทศในทวีปตะวันออกกลาง ซึ่งน่าจะเห็นความชัดเจนได้ในเร็ว ๆ นี้ รวมถึงยังศึกษาการลงทุนในด้านดิจิตอล อินโนเวชั่น โดยรูปแบบการลงทุนอาจจะเป็นผู้ลงทุนเอง หรือร่วมมือกับพันธมิตร คาดว่าน่าจะสรุปได้ภายใน 1-2 เดือนนี้

การลงทุนในธุรกิจดังกล่าวจะอยู่ภายในบริษัทย่อย คือ บริษัท ดีมีเตอร์ มีเดีย จำกัด (DMEDIA) แต่ก็กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาที่จะเปลี่ยนชื่อบริษัทย่อยดังกล่าวเพื่อให้เห็นความชัดเจนของธุรกิจที่จะเน้นในเรื่องของอินโนเวชั่นมากขึ้น จากธุรกิจมีเดียเพียงอย่างเดียว หลังจากในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับโครงสร้างของธุรกิจด้วยการยกเลิกธุรกิจทีวีดาวเทียมทั้งหมดแล้ว

"ณ วันนี้เรายังไม่เห็นคู่แข่ง ใกล้เคียงสุดคือพวก App Live Streaming ตลาดนี้ปีที่แล้ว 3,400 ล้านบาท แต่เขาทำแค่มี Broadcast แต่ทำเป็น professional content ยังไม่มีใครทำ เราถึงเดินไปที่ไหนทุกคนรู้สึกว่าอยากมาร่วมด้วยหมดเลย ทุกคนรู้สึก happy"นายอนิศ กล่าว

นายอนิศ กล่าวว่า สำหรับธุรกิจพลังงานและอินโนเวชั่น ด้านพลังงาน ดำเนินการภายใต้บริษัทย่อย คือ บริษัท ดีมีเตอร์ พาวเวอร์ จำกัด (DPOWER) ซึ่งปัจจุบันมีรายได้จากธุรกิจประหยัดพลังงานที่ได้ดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ปรับปรุงและเปลี่ยนหลอดไฟให้เป็นหลอดไฟ LED เปลี่ยนระบบทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพสูงในอาคารให้แก่คู่ค้าที่เป็นห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรมและโรงพยาบาล ซึ่งที่ผ่านมาได้เข้ารับงานให้กับห้างสรรพสินค้าไอที สแควร์ และสนามกอล์ฟ ซึ่งจะเป็นลักษณะการแบ่งปันผลกำไร (profit sharing) คาดว่าให้ IRR เป็นตัวเลขสองหลัก และอยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียดเพื่อเข้ารับงานในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม และโรงพยาบาลเพิ่มเติมด้วย โดยในปีนี้คาดว่าจะได้รับงานจากส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่เพิ่งเริ่มทดลองตลาด

นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบใหม่ ๆ ในการร่วมลงทุนเกี่ยวกับนวัตกรรมการประหยัดพลังงาน เช่น energy saving car เป็นต้น โดยคาดว่าน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นใน 1-2 สัปดาห์นี้

ส่วนทางด้านพลังงานที่เป็นการผลิตไฟฟ้านั้น บริษัทก็ยังอยู่ระหว่างมองหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่ได้เข้าถือหุ้น 33% ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพ ที่ จ.สุพรรณบุรี ขนาด 4.9 เมกะวัตต์ ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) อยู่แล้ว โดยปัจจุบันได้ว่าจ้างบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาบริหารจัดการและปรับปรุงโรงไฟฟ้า คาดว่าจะต้องใช้เวลา 10-12 เดือนจึงจะกลับมาเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ ทำให้ปีนี้จะไม่สามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการดังกล่าวได้ แต่จะเริ่มรับรู้ผลการดำเนินงานได้ในปี 61 ขณะที่บริษัทยังมีโอกาสจะที่ซื้อหุ้นเพิ่มเป็น 50% หากโรงไฟฟ้าสามารถทำกำไรได้ในระดับที่ดี

นายอนิศ กล่าวว่า สำหรับการเข้าซื้อหุ้น 40% ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ฟิลิปปินส์ ขนาด 50 เมกะวัตต์นั้น อาจจะมีความคืบหน้าบ้างในเดือนก.ค.นี้ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอความชัดเจนจากรัฐบาลฟิลิปินส์ หลังจากได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าใหม่ ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด

ส่วนการร่วมลงทุนสร้างโรงงานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ ตามความร่วมมือกับ HAINAN YINGLI NEW ENERGY RESOURCES CO.,LTD (YINGLI) จากจีนนั้น บริษัทได้พิจารณายกเลิกความร่วมมือดังกล่าวและพิจารณาคู่ค้ารายใหม่ต่อไปหากยังมีโอกาสทางการค้าในธุรกิจนี้ แต่ทั้งนี้ยังขึ้นกับนโยบายระหว่างประเทศด้วย โดยเฉพาะจากสหรัฐซึ่งหากมีการตั้งกำแพงภาษีจากไทยก็คาดว่าจะไม่สามารถดำเนินโครงการดังกล่าวได้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมองโอกาสลงทุนธุรกิจผลิตไฟฟ้า โดยให้ความสนใจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในกลุ่ม CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา และกัมพูชา โดยเฉพาะในเมียนมา ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก แต่ปริมาณการผลิตไฟฟ้ายังต่ำ ขณะที่การลงทุนในประเทศให้ผลตอบแทนที่ต่ำ อย่างไรก็ตามบริษัทได้เข้าไปศึกษาเรื่องโครงการโซลาร์รูฟท็อปหลายแห่ง แต่มองว่าคงต้องใช้เวลา 1-2 ปีตลาดจึงจะเปิดและมีความคุ้มทุนมากกว่าในปัจจุบัน

"เรามองว่าธุรกิจพลังงานจะอุดความเสี่ยง สมมติเราได้ดีลพลังงานมา 1 แล้วมีรายได้ประจำพอเลี้ยงเงินเดือน ค่าใช้จ่ายบริษัทไปได้ก็ถือว่าโอเค ที่เหลือหาได้เท่าไหร่ก็กำไรล้วน ที่นี้ส่วนที่เป็นกำไรล้วนเราก็มานั่งหาพวกแบบนี้ ที่เป็นอินโนเวชั่น ลงเงินไม่เยอะ แต่มีสิทธิป๊อกโดนสูง และคนทำงานรู้สึกสนุกและมีไฟกับสิ่งนั้น"นายอนิศ กล่าว

นายอนิศ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดในมืออยู่ราว 500 ล้านบาท และยังมีความสามารถในการกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินได้อีกมาก เพื่อรองรับการลงทุนดังกล่าวได้ในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ