โบรกฯส่องเป้า SET ครึ่งปีหลัง 1,620-1,750 แนะหุ้นรับประโยชน์โครงการรัฐ-ส่งออก-ท่องเที่ยว-แบงก์

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 4, 2017 13:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในช่วงครึ่งหลังของปี 60 ในกรอบ 1,620-1,750 จุด เทรดที่ P/E ในช่วง 14.1-16.7 เท่า และการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในช่วง 6-23%

พร้อมมองความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะแกว่งไซด์เวย์ในกรอบแคบ หลัง Valuation ค่อนข้างสูง แม้ยังไม่เห็นเหตุการณ์ใดจะมากดดัชนีฯหรือทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออก ทั้งนี้ เชื่อว่าไตรมาส 3/60 ตลาดหุ้นมีโอกาสชะลอ เนื่องจากจะมีเหตุการณ์สำคัญในช่วงเดือน ต.ค.นี้

ส่วนไตรมาส 4/60 ตลาดฯคงจะฟื้นตัวขึ้นหลังจากผู้ประกอบการเริ่มหันมาลงทุนด้านโฆษณามากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย อีกทั้งเป็นช่วงปลายปีที่เข้าสู่เทศกาลต่างๆ ด้วย นอกจากนี้ อาจมี Positive Surprise หากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯล่าช้าอาจทำให้เงินทุนยังไม่ไหลกลับออกไปและเงินที่ออกไปแล้วอาจไหลกลับเข้ามาในช่วงสั้น

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนเป็นหุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค, หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการรัฐฯ อย่างกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ตามโครงการรถไฟฟ้าที่คืบหน้ามีสัญญาณการประมูลชัดเจน และกลุ่มแบงก์น่าจะได้รับประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อให้โครงการต่าง ๆ ส่วนการท่องเที่ยวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับต่างประเทศเป็นหลัก อย่าง ปิโตรเคมี, พลังงาน, ส่งออกอาหาร, อิเล็คทรอนิกส์ เนื่องจากมองถึงการส่งออกของไทยที่ดีขึ้นได้ก็เป็นผลจากเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัว

          โบรกเกอร์                     เป้าดัชนี SET (จุด)    P/E (เท่า)   Earning Growth(%)
          โกลเบล็ก                         1,750              16.0           23
          ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)             1,650              14.1           13
          ทิสโก้                            1,650              14.5            7
          ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)       1,650              16.7            6
          ทรีนีตี้                            1,620              15.8            9

*"ทรีนิตี้"มอง H2/60 ตลาดฯแกว่งไซด์เวย์/แนะลงทุน"กลุ่มสาธารณูปโภค"ปลอดภัย

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง (H2/60) คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ เนื่องจากมองมี Upside จำกัดจาก Valuation ที่ค่อนข้างสูง แต่ในช่วงไตรมาส 3/60 แนวรับที่ 1,500-1,520 จุด น่าจะรับได้อยู่ เพราะยังไม่เห็นเหตุการณ์ใดที่จะมากดดัชนีฯหรือทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออก และคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.นั้น มองว่าตลาดฯรับรู้ไปบ้างแล้ว ส่วน Downside ของตลาดฯก็จำกัด แต่มองตลาดฯคงจะซึมต่อไปอย่างน้อยก็ในไตรมาส 3/60

ส่วนไตรมาส 4/60 อาจมี Positive Surprise หากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกลากไปปีหน้า ตรงนี้ก็จะทำให้เงินทุนก็อาจจะยังไม่ไหลกลับออกไป และดึงเงินที่ออกไปแล้วกลับเข้ามาในช่วงสั้นได้

ดังนั้น ภาวะตลาดในช่วงครึ่งปีหลังก็คงจะเป็นลักษณะแกว่งแคบ โดยหุ้นที่น่าสนใจลงทุนเป็นหุ้นที่มีฐานรายได้มั่นคง และมีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจน้อย อีกทั้งพร้อมจะจ่ายปันผลสุง รวมไปถึงความผันผวนราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งก็คือ หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค จัดให้เป็น Top Pick ถือว่าลงทุนแล้วปลอดภัย อาทิ หุ้น BPCG, WHAUP, GLOW, EGCO, RATCH เป็นต้น

*"ทิสโก้"เชียร์หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการรัฐฯน่าสนใจลงทุน

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าตลาดหุ้นไทยอาจมีการปรับตัวลงตามการปรับฐานของตลาดสหรัฐหลังจากปรับขึ้นไปร้อนแรงมากจนมี Valuation สูง ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงด้วย อีกทั้งผลประกอบการงวดไตรมาส 2/60 ของตลาดบ้านเราก็คาดว่าจะออกมาไม่ดีนัก จึงมีโอกาสเห็นความผันผวนของราคาหุ้น แต่ก็เป็นจังวหะในการเข้าซื้อ เนื่องจากในระยะถัดไปตลาดหุ้นไทยก็มีโอกาสฟื้นตัว

ทั้งนี้ หุ้นที่มีความน่าสนใจการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เช่น CK, SEAFCO ส่วนประเด็นระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) หุ้นที่น่าสนใจเป็น ROJNA นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้น AMA, BEAUTY, JWD เนื่องจากมองว่าการบริโภคภายในประเทศ และกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก อีกทั้งด้านการส่งออกการค้าโลกก็น่าจะดีขึ้นด้วย

*"ดีบีเอสฯ"แนะเลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัวเป็นรอบ ๆ อิงตามประเด็นที่เกิดขึ้น

น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังแนะนำให้เลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัวเป็นรอบ ๆ คล้ายกับช่วงครึ่งปีแรก โดยให้เวียนกลุ่มเล่นกันไป แนะนำหุ้นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นโครงการลงทุนภาครัฐฯ, การส่งออกดีกว่าคาด แต่ก็ต้องมองเงินบาทที่แข็งค่าด้วย ซึ่งก็ต้องคอยติดตามทิศทางในระยะต่อไป และการท่องเที่ยวก็ยังขยายตัวได้ดี ส่วนกลุ่มพลังงานให้ดูทิศทางราคาน้ำมัน ซึ่งช่วงนี้แผ่วลง ด้านกลุ่มธนาคารพาณิชย์ให้น้ำหนักเป็น Neutral

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงครึ่งปีหลัง คือ ทิศทางราคาน้ำมัน, ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายการ (NPL) ของระบบธนาคารพาณิชย์, เศรษฐกิจโลก, มาตรการของประธานาธิบดีทรัมป์เดินหน้าได้ราบรื่นหรือไม่ โดยเฉพาะแผนการปฏิรูปภาษี และการเลือกตั้งในเยอรมันที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

*"โกลเบล็ก"มองกลุ่มรับเหมาฯ-แบงก์-ท่องเที่ยว น่าสนใจลงทุนใน H2/60

นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า เป้าหมายดัชนี SET ในครึ่งปีหลังมองไว้ที่ 1,750 จุด อิงตัวเลข GDP ไทยเติบโต 4% คิดเป็น P/E 16 เท่า ซึ่งในครึ่งปีหลังหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนน่าจะเป็นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ตามโครงการรถไฟฟ้าที่คืบหน้าและมีสัญญาณการประมูลชัดเจน ส่วนกลุ่มแบงก์ก็น่าจะได้รับประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อให้โครงการต่าง ๆ ด้วย รวมถึงการท่องเที่ยวก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจะเห็นได้ว่ากำลังซื้อภาคครัวเรือนก็กลับมา

อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงครึ่งปีหลังเป็นเรื่องการเลือกตั้งในเยอรมัน ซึ่งจะมีขึ้นในเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ และการปรับลดงบดุลของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มในเดือน ก.ย.โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าปีนี้คงจะลด 4% ส่วนปีหน้าก็ประมาณ 8-10% ซึ่งก็จะมีผลต่อ Fund Flow ที่อาจจะผันผวนได้ และให้ติดตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ด้วย

*"ซีไอเอ็มบี"เล็งหุ้นทำธุรกิจเกี่ยวกับ ตปท.เป็นหลักน่าสนใจลงทุนหลังส่งออกฟื้น

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังมองว่า ในช่วงไตรมาส 3/60 ตลาดฯอาจจะชะลอตัวอันเป็นความเกี่ยวเนื่องจากมีงานพระราชพิธี แต่หลังจากเสร็จสิ้นงานนี้แล้ว ก็เข้าสู่ไตรมาส 4/60 ตลาดฯน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ จากผู้ประกอบการที่เริ่มหันมาใช้จ่ายโฆษณามากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย อีกทั้งเป็นช่วงปลายปีเข้าสู่เทศกาลต่าง ๆ ด้วย

สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง (H2/60) น่าจะเป็นหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับต่างประเทศเป็นหลัก อย่างปิโตรเคมี, พลังงาน, ส่งออกอาหาร, อิเล็คทรอนิกส์ เนื่องจากมองถึงการส่งออกของไทยที่ดีขึ้นได้ก็เป็นผลจากเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัวขึ้น ส่วนปีหน้ามองว่าพวกค้าปลีกน่าจะฟื้นตัวได้ดีขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ