มอร์นิ่งสตาร์ฯ เผยกองทุนไทยใน H1/60 โต 3.64% เม็ดเงินไหลเข้าสุทธิ 1.38 แสนลบ.หันลงทุน ตปท.มากขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 18, 2017 17:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมกองทุนไทยโตอย่างต่อเนื่องจบครึ่งปีแรกโต 3.64% ทำให้ยอดมูลค่าทรัพยสินสุทธิกองทุนรวมไทยมาปิดที่ 4.82 ล้านล้านบาท นักลงทุนเริ่มส่งสัญญาณลงทุนเพิ่มในไตรมาส 2 ทำให้ยอดเงินไหลเข้าสุทธิทั้งสิ้น138,282 ล้านบาท

ในช่วงครึ่งแรกปี 60 นักลงทุนส่วนใหญ่หันไปให้ความสนใจต่อการไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศมากกว่าลงทุนใประเทศไทย โดยครึ่งปีแรกนี้มีเงินไหลไปลงทุนในต่างประเทศสุทธิคิดเป็น 163,155 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนขายสินทรัพย์ในประเทศออกรวมกว่า 24,873 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพรวมแล้วนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่ยังความนิยมลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงหรือเน้นการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังในการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี โดยกองทุนประเภท Foreign Investment Bond Fix Term, Global Bond (โดยเฉพาะกองทุนจำพวก Global Income) และ Short Term Bond นั้น ยังคงได้รับความนิยมสูงสุดอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

ในทางกลับกันความกังวลต่อสถานการณ์การผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้จำพวกตั๋ว B/E ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อการลงทุนในตราสารดังกล่าวเป็นผลให้ปัจจุบันมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนในกลุ่มดังกล่าว (High Yield Bond) นี้มีมูลค่าลดลงอย่างต่อเนื่องเหลือเพียงไม่ถึง 90,000 ล้านบาท จากที่เคยสูงสุดกว่า 520,000 ล้านบาท

โดยหากมองไปยัง 5 อันดับกลุ่มกองทุนที่มีเงินไหลเข้าสูงสุดในครึ่งปีแรกนี้จะสังเกตได้ว่าเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่มกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลางทั้งสิ้นซึ่งนั้นสะท้อนให้เห็นว่าผู้ลงทุนนั้นยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์การลงทุนอยู่มาก

ขณะที่การลงทุนในกลุ่มกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (ไม่นับรวมประเภท Term Fund) นั้นก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปีนี้มีกองทุนเปิดใหม่แล้วกว่า 30 กองทุน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิโตขึ้นจากปลายปีที่แล้ว 32.57% และมีเงินไหลเข้าสุทธิทั้งกลุ่มแล้วกว่า 163,155 ล้านบาท ส่งผลให้กลุ่มนี้มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงเป็นสถิติที่ 525,620 ล้านบาท ซึ่งเทียบได้กับเงินลงทุนใน LTF และ RMF รวมกัน

อย่างไรก็ตาม การเติบโตในส่วนของเงินลงทุนในกลุ่มนี้ดูเหมือนจะมาจากกองทุนหลักเพียง 2 กลุ่มนั้นก็คือ กลุ่ม Global Bond และ กลุ่ม Global Allocation ที่ครึ่งปีแรกมีเงินไหลเข้า 81,487 และ 35,932 ล้านบาทตามลำดับ รวมทั้งการลงทุนในหุ้นต่างประเทศแบบกระจายการลงทุนทั้งในกลุ่ม Emerging Market และ Global Equity ในขณะที่นักลงทุนบางส่วนก็ใช้โอกาสปรับพอร์ตการลงทุนขายทำกำไรและลดความเสี่ยงลงจากกลุ่มหุ้นต่างประเทศ (Global Health Care, Europe Equity, China Equity, Japan Equity และ Asia Pacific ex-Japan Equity) ที่ปรับตัวขึ้นมาสูงในช่วงครึ่งปีแรกนี้

ขณะที่มูลค่า market share ของกลุ่มดังกล่าวนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างนัยสำคัญเช่นกัน โดยที่ บลจ.ทหารไทย (19.88%) และ บลจ. ไทยพาณิชย์ (18.00%) มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ขยับเข้าใกล้ บลจ.กสิกรไทย (25.34%) ที่เป็นแชมป์ใกล้เข้าไปทุกที

สำหรับกองทุนหุ้นไทย (ไม่นับรวม LTF และ RMF) กันบ้างหลังจากที่ค่อนข้างคึกคักในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าความนิยมเริ่มแผ่วลงไปทันที โดยในไตรมาส 2 นี้มีเงินไหลเข้าเพียงสุทธิ 173 ล้านบาท ส่งผลให้ครึ่งแรกของปีมีเงินไหลเข้าสุทธิรวม 10,864 ล้านบาท โดยที่แบ่งเป็นเข้ากองทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่ (Equity Large Cap) 3,124 ล้านบาทและกองทุนหุ้นไทยขนาดกลางและเล็ก (Equity Small/Mid Cap) 7,740 ล้านบาท

ทั้งนี้ ประเภทกองทุนหุ้นไทยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดช่วงครึ่งปีแรกนี้คือ กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นปันผล (Dividend Stock) และกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ (Low Volatility)

ส่วนการลงทุนใน LTF และ RMF ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมานี้ดูเหมือนว่านักลงทุนจะเน้นการขายหน่วยลงทุนออกเพื่อทำกำไรโดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผลตอบแทนที่น่าพอใจจากการลงทุนตลอดเวลาที่ผ่าน (5ปีย้อนหลังเฉลี่ย 6.9% ต่อปี, 7ปีได้อยู่ที่เฉลี่ย 10.51% ต่อปีและ 10ปีได้อยู่ที่เฉลี่ย 8.55% ต่อปี) มาประกอบกับสถานการณ์การลงทุนที่ตลาดยังดูมีความผันผวนอยู่มาก ส่งผลให้ปิดครึ่งแรกของปี LTF มีเงินไหลออกสูงมากเป็นอันดับ 2 ตลอดกาลที่ประมาณ 15,200 ล้านบาท ในขณะที่ RMF หลังจากที่มีการขายสุทธิออกค่อนข้างมากผิดปกติในไตรมาสแรกก็เริ่มมีนักลงทุนซื้อกลับเข้ามาบ้างเล็กน้อยในไตรมาสที่สองส่งผลให้ปิดครึ่งปีแรกมีเม็ดเงินไหลเข้ากลับมาเป็นบวกได้ที่ 13 ล้านบาท แต่ก็ยังถือว่าเป็นยอดที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี

แต่อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมของทั้ง LTF และ RMF นั้นยังมีแนวโน้มในการเติบโตได้ดีเพราะเชื่อว่าแรงขายจากนักลงทุนที่ตั้งใจอยากจะขายกองทุนทั้ง 2 ประเภทนี้นั้นน่าจะลดลงจนเกือบจะหมดแล้ว ซึ่งก็คาดการณ์ได้ว่าหลังจากนี้ครึ่งหลังของปีน่าจะมีแต่กำลังซื้อทยอยกลับเข้ามาโดยเฉพาะช่วงเดือนสุดท้ายของปี จบครึ่งปีแรก 60 นี้ LTF มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 330,809 ล้านบาท และ RMF มีอยู่ 219,302 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ