โบรกฯเชียร์"ซื้อ"SCC แม้กำไร Q2/60 หดแต่ทั้งปียังคาดทะลุ 5 หมื่นลบ.,เชื่อลงทุนปิโตรฯเวียดนามไม่กระทบปันผล

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 20, 2017 14:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) แม้มองกำไรในไตรมาส 2/60 จะหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน จากส่วนต่าง (สเปรด) ปิโตรเคมีบางผลิตภัณฑ์ที่อ่อนตัวลง และราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ลดลงอาจทำให้เกิดผลขาดทุนสต็อก รวมถึงธุรกิจซีเมนต์และกระดาษยังชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งในงวดไตรมาสนี้ไม่มีกำไรพิเศษเหมือนในไตรมาสแรก

แต่ทั้งปี 60 ยังเชื่อว่า SCC จะรักษาระดับกำไรเกินกว่า 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่สูง และการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งการมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีทิศทางดีขึ้น จะเอื้อประโยชน์ต่อ SCC และทำให้ยังเป็นตัวเลือกที่ดีในการลงทุนระยะยาว

ส่วนการจะลงทุนในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์เวียดนามที่มีมูลค่าสูงถึง 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐนั้น เชื่อว่าจะไม่เป็นภาระทางการเงิน และกระทบต่อการจ่ายปันผลของ SCC ในอนาคต ด้วยความสามารถในการสร้าง EBITDA เกือบ 1 แสนล้านบาท/ปีจะช่วยรองรับการทยอยลงทุนในโครงการดังกล่าวได้

พักเที่ยงราคาหุ้น SCC อยู่ที่ 504 บาท ลดลง 4 บาท (-0.79%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ปรับขึ้น 0.05%

          โบรกเกอร์                  คำแนะนำ                   ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          ฟันันเซีย ไซรัส                 ซื้อ                           610.00
          เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ              ซื้อ                           600.00
          บัวหลวง                      ซื้อ                           620.00
          ทรีนีตี้                     ซื้อเมื่ออ่อนตัว                      530.00
          ไทยพาณิชย์                    ซื้อ                           640.00
          ฟิลลิป (ประเทศไทย)            ซื้อ                           570.00
          เอเซีย พลัส                   ซื้อ                           620.00

นายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ SCC ในไตรมาส 2/60 จะชะลอตัวลงเหลือระดับ 1.35 หมื่นล้านบาท ลดลง 22% จากไตรมาสก่อน และลดลง 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับลดลงของราคาปิโตรเคมีหลายผลิตภัณฑ์ ซึ่งทำให้อาจมีผลขาดทุนสต็อก ประกอบกับสเปรดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอ่อนตัวลงกดดันต่อผลการดำเนินงาน

นอกจากนี้ ธุรกิจซีเมนต์ยังคงเผชิญกับการแข่งขันสูง และความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ของตลาดรวมที่หดตัว 7-8% ในครึ่งแรกของปีนี้ รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์ก็มีผลการดำเนินงานชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจและการส่งออก ขณะเดียวกันในงวดนี้ SCC ยังไม่มีกำไรพิเศษเหมือนในงวดไตรมาส 1/60 ที่มีกำไรจากการขายเงินลงทุนราว 1.9 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แม้กำไรในไตรมาส 2/60 ของ SCC จะหดตัวลง แต่เมื่อรวมกับกำไรที่ดีมากในไตรมาสแรก ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรก SCC จะทำกำไรได้ราว 56-57% ของประมาณการกำไรทั้งปีนี้ที่ระดับ 5.5 หมื่นล้านบาท ลดลงราว 2% จากฐานกำไรที่สูงในปีที่แล้ว แต่กำไรทั้งปีที่ระดับดังกล่าวนับว่าอยู่ในระดับที่สูง และยังคงมีความสามารถในการจ่ายปันผลปีนี้ที่ราว 18-19 บาท/หุ้นได้ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ในระดับ 3.7%

"outlook ช่วงครึ่งหลังของปีนี้น่าจะยังทรง ๆ แต่ก็ขึ้นกับธุรกิจปิโตรเคมี เพราะกำไรมาจากธุรกิจปิโตรเคมีเยอะ แต่โดยรวมคาดว่ากำไรน่าจะอยู่ระดับ 1.3-1.4 หมื่นล้านบาทต่อไตรมาส ปกติในไตรมาส 3 ธุรกิจปิโตรฯก็จะดีเพราะเป็นช่วง restock ส่วนไตรมาส 4 ก็จะชะลอเพราะเข้าสู่ช่วงเทศกาล...ส่วนธุรกิจซีเมนต์นั้น การแข่งขันเริ่มลดลงหลังความต้องการใช้น่าจะเพิ่มขึ้นตามโครงการภาครัฐที่จะมีออกมา ซึ่งล่าสุดเริ่มได้ยินว่าราคาปูนเริ่มปรับขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นตามต้นทุนผลิตที่สูงขึ้น"นายสุรชัย กล่าว

สำหรับการประกาศแผนลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามของ SCC ที่มีมูลค่าลงทุนทั้งโครงการสูงถึง 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.88 แสนล้านบาทนั้น ในส่วนนี้จะเป็นเงินกู้ราว 60% และส่วนทุน 40% โดย SCC ถือหุ้นในโครงการดังกล่าว 71% คิดเป็นเงินลงทุนในส่วนของ SCC เพียงปีละ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่กระทบต่อเป้าหมายงบลงทุนของ SCC ในแต่ละปีที่ 5 หมื่นล้านบาท

และเมื่อเทียบกับกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในแต่ละปีที่ทำได้เกือบ 1 แสนล้านบาทนั้น ก็นับว่าไม่เป็นภาระต่อเงินลงทุน อีกทั้งยังไม่กระทบต่อการจ่ายเงินปันผลที่ SCC จะยังคงสามารถจ่ายปันผลในระดับสูงที่ 18-19 บาท/หุ้นได้ต่อเนื่องด้วย

ด้านบทวิเคราะห์ บล.ฟันันเซีย ไซรัส ระบุว่าคาดการณ์กำไรปกติของ SCC ในไตรมาส 2/60 จะอยู่ที่ระดับ 1.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 14% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากมาร์จิ้นปิโตรเคมีที่ลดลงกดดันผลประกอบการกลุ่มเคมีภัณฑ์ และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือ ขณะที่ธุรกิจวัสดุก่อสร้างถูกกดดันจากการก่อสร้างในประเทศยังไม่ฟื้นตัว และมีค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นจากโรงปูนซีเมนต์ในเมียนมาและลาวที่เปิดดำเนินการเมื่อปลายไตรมาส 1/60

อย่างไรก็ตาม กำไรของ SCC ในครึ่งแรกปีนี้น่าจะเท่ากับ 53% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี ส่วนแนวโน้มไตรมาส 3/60 น่าจะทำได้เพียงทรงตัว ก่อนจะเห็นการเติบโตอีกครั้งช่วงปลายปีตามการก่อสร้างภาครัฐที่จะเป็นรูปธรรมมากขึ้น ดังนั้น จึงยังคงประมาณการกำไรปกติในปีนี้ที่ 5.4 หมื่นล้านบาท ทรงตัวในระดับเดียวกับปีก่อน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของ SCC

ขณะที่การประกาศลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตในปี 65 เพื่อรองรับตลาดในประเทศเป็นหลัก เนื่องจากปัจจุบันเวียดนามนำเข้าโพลีโอเลฟินส์ 2.3 ล้านตัน/ปี อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นยังไม่มีข้อมูลเพียงต่อการประมาณการ แต่เชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยสร้างการเติบโตในระยะยาวให้กับ SCC ได้จากการเป็นโรงงานปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกในเวียดนาม ซึ่งมีเศรษฐกิจเติบโตสูง โดยแหล่งเงินทุนคาดว่าจะมาจากกระแสเงินสดภายในเนื่องจาก SCC สามารถสร้าง EBITDA ได้ 9 หมื่นล้านบาท/ปี ดังนั้น เงินลงทุนดังกล่าวจะไม่กระทบต่อความสามารถการจ่ายปันผล

สำหรับระยะยาวยังคงชอบ SCC ในด้านการกระจายธุรกิจ การเติบโตไปต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ทำให้ผลประกอบการที่ผ่านมาเติบโตต่อเนื่อง และมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันถือว่าไม่แพง

บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า โดยประมาณการณ์กำไรสุทธิของ SCC ในไตรมาส 2/60 ที่ 1.44 หมื่นล้านบาท ลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 17% จากไตรมาสก่อน แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 2/60 จะอ่อนตัวและการเติบโตในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าจะไม่น่าตื่นเต้น แต่มองว่าโอกาสที่ราคาหุ้นจะลดลงมีจำกัด เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากอัตราตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจถึง 4.2% กระแสเงินสดที่แข็งแกร่งจากธุรกิจเคมีภัณฑ์น่าจะหนุนให้ SCC สามารถจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นระหว่างกาลที่ 10.50 บาท/หุ้น คิดจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 40%

ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มดีขึ้นในปี 61 แนวโน้มส่วนต่างราคาของสายโพลีโพรไพลีนที่เพิ่มขึ้นในปี 62 และโอกาสในการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผล น่าจะส่งผลให้เงินปันผลต่อหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ