PSH เผยยอดขายปีนี้มีโอกาสทะลุเป้ามาที่ 5.5 หมื่นลบ.หลังครึ่งแรกดีกว่าคาด,คงเป้ารายได้ปีนี้ที่ 5.02 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 20, 2017 15:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) ในเครือบมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) เปิดเผยว่า ยอดขายปีนี้มีโอกาสทำได้ถึงระดับ 5.5 หมื่นล้านบาท มากกว่าระดับ 5.29 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่ในช่วงต้นปี เป็นผลมาจากยอดขายช่วงครึ่งปีแรกทำได้ 2.7 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ 2 หมื่นล้านบาท จากยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมที่เติบโตมาก จากความสำเร็จในการขายโครงการคอนโดมิเนียมกลุ่มพรีเมียม 2 โครงการ คือ โครงการเดอะ รีเซร์ฟ ทองหล่อ และโครงการแชปเตอร์วัน ชายน์ บางโพ หนุนให้ยอดขายคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งแรกปีนี้อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท เติบโต 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

อีกทั้งโครงการคอนโดมิเนียมในกลุ่มแวลูก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งได้เปิดไป 3 โครงการ คือ โครงการพลัม คอนโด แจ้งวัฒนะ เฟส 3 โครงการเดอะทรี สุขุมวิท 71-เอกมัย และโครงการ The Tree จรัญสนิทวงศ์ 30 ซึ่งทั้ง 3 โครงการคอนโดมิเนียมกลุ่มแวลูที่เปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรกสามารถสร้างยอดขายได้อย่างเดียวเช่นเดียวกับคอนโดมิเนียมกลุ่มพรีเมียม ขณะที่ยอดขายของโครงการแนวราบในช่วงครึ่งปีแรกมีทิศทางที่ทรงตัวจากปีก่อนโดยทำยอดขายได้ 1.7 หมื่นล้านบาท

"ยอดขายในครึ่งปีหลังเรามองว่ามีโอกาสสูงขึ้นกว่าครึ่งปีแรก จากที่ครึ่งปีแรกเราทำได้เกินเป้าที่ 2 หมื่นล้านบาท มาเป็น 2.7 หมื่นล้านบาท เพราะยอดขายคอนโดฯดีมาก และมองแนวโน้มน่าจะดีต่อไปเรื่อย ๆ จาภาพรวมของตลาดที่มีการเติบโตที่ดีกว่าคาด และเรายังมีโครงการใหม่ที่จะเปิดมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ก็คาดว่ายอดขายรวมทั้งปีก็มีลุ้นทำได้ 5.5 หมื่นล้านบาท มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 5.29 หมื่นล้านบาท"นายปิยะ กล่าว

นายปิยะ กล่าวว่า บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อีก 35 โครงการ มูลค่ารวม 3.9 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่เปิดไปแล้ว 31 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนการเปิดโครงการในปีนี้ทั้งหมด 66 โครงการ มูลค่ารวม 5.9 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนของการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมของกลุ่มธุรกิจแวลู ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคา 2-5 ล้านบาท/ยูนิต ในปีนี้เปิดทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งปีแรกเปิดไปแล้ว 3 โครงการ และเหลือการเปิดในช่วงครึ่งปีหลังอีก 4 โครงการ

โดยจะเริ่มเปิดโครงการคอนโดมิเนียมในกลุ่มแวลูตั้งแต่ต้นเดือนส.ค. เป็นต้นไป ได้แก่ โครงการ THE PRIVACY จรัญฯ – ราชวิถี สเตชั่น มูลค่า 900 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท เปิดพรีเซลในวันที่ 5 ส.ค.นี้ และโครงการ THE PRIVACY ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ มูลค่า 2.4 พันล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท เปิดลงทะเบียนรับสิทธิจองวันที่ 3 ส.ค.นี้ ที่เดอะมอลล์ท่าพระ เปิดให้ชมสำนักงานขาย และห้องตัวอย่าง วันที่ 19 ส.ค. และเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 ก.ย.นี้ บริษัทตั้งเป้าการขายทั้ง 2 โครงการใหม่โครงการละ 50% ในช่วงแรกของการเปิดการขายถึงสิ้นปีนี้

นอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ของกลุ่มแวลูที่เตรียมเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/60 อีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ THE PRIVACY พระราม 9 และโครงการ The Tree อีก 1 โครงการ ซึ่งบริษัทมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้แม้ว่าจะมีระยะเวลาการขายที่น้อยกว่าปกติ แต่แนวโน้มความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความต้องการซื้อโครงการคอนโดมิเนียมที่เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในด้านการเดินทาง ทำให้ครึ่งปีแรกตลาดคอนโดมิเนียมเติบโตได้ค่อนข้างดีที่ 3%

ส่วนภาพรวมของการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตได้สูงกว่าครึ่งปีแรกที่ 16% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและกำลังซื้อ จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและการเริ่มลงทุนโครงการขนาดใหญ่ รวมถึงการส่งออกที่กลับมาขยายตัวได้ เป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ได้อานิสงส์ตามมา และมีโอกาสที่ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ไนปีนี้จะเติบโตได้มากกว่าที่คาดไว้ 5%

สำหรับรายได้ของบริษัทในปีนี้ยังมั่นใจว่าทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5.02 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการโอนเฉพาะในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมเข้ามาอีก 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่เตรียมโอนในครึ่งปีหลังอีก 4 โครงการ ได้แก่ โครงการ Plum Condo Central Westgate มูลค่า 2 พันล้านบาท โครงการ The Tree สุขุมวิท 50 มูลค่า 500 ล้านบาท โครงการ The Tree โชคชัย 4 มูลค่า 800 ล้านบาท และโครงการ Plum Condo แจ้งวัฒนะ เฟส 2 มูลค่า 1 พันล้านบาท อีกทั้งยังมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการแนวราบอื่น ๆ ที่ทยอยโอนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันบริษัทยังมีความกังวลในเรื่องการโอนโครงการแนวราบที่มีความล่าช้าเกิดขึ้น จากปัญหางานก่อสร้างที่ล่าช้า ซึ่งคาดว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อบริษัทและลูกค้า

ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทในปัจจุบันรวมเฉลี่ยราว 10% โดยอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของโครงการคอนโดมิเนียมได้ปรับตัวลดลงเหลือเพียงตัวเลขหลักเดียว จากปีก่อนที่อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการคอนโดมิเนียมมีตัวเลขสองหลัก เพราะปัจจุบันบริษัทได้ให้คำแนะนำกับลูกค้าก่อนการยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินและการทำ Pre-approve ก่อน ซึ่งทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของโครงการคอนโดมิเนียมลดลงไปค่อนข้างมาก ในทางกลับกันอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการแนวราบปรับตัวสูงขึ้นมาเป็นตัวเลขสองหลัก และเป็นตัวเลขที่มากที่สุดในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริทรัพย์แนวราบ ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการหาวิธีในการให้คำแนะนำกับลูกค้า เพื่อไม่ไห้เกิดผลกระทบทั้งต่อตัวบริษัทและลูกค้าที่ซื้อโครงการแนวราบ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ