TU เผยกำไรสุทธิ Q2/60 ลดลง 7.6% จากงวดปีก่อน หลังราคาทูน่าสูง-ต้นทุนการเงินเพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 7, 2017 14:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ปี 60 ยอดขายรวมอยู่ที่ 34,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ถึงแม้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนและสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างมาก การเติบโตของยอดขายที่อ่อนตัวเป็นผลจากการชะลอตัวของความต้องการซื้อ ซึ่งเป็นผลจากการปรับราคาขายรวมทั้งการอ่อนค่าของเงินสกุลยุโรป อย่างไรก็ตามยอดขายในรูปสกุลเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.0% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 1,015 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในส่วนของผลกำไร บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,411 ล้านบาท ลดลง 7.6% เมื่อเทียบจากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยกำไรขั้นต้นเท่ากับ 4,669 ล้านบาท ลดลง 14.5% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับ 13.4% เมื่อเปรียบเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 ปี 59 ที่ 15.9% ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเป็นผลมาจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจปลาทูน่า รวมถึงค่าเงินในยุโรปที่อ่อนค่าลงอีกด้วย นอกจากนี้ต้นทุนการเงินยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากความต้องการเงินทุนจากการออกหุ้นกู้และการก่อหนี้เพื่อใช้รองรับการลงทุนในส่วนของบริษัท Red Lobster

ในส่วนของธุรกิจหลักของไทยยูเนี่ยน ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มียอดขายเติบโต 2.2% จากงวดปีก่อน มาที่4,502 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่าง ๆ และการรุกทำตลาดที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง แช่เย็น และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็น 13,944 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (ambient) ลดลง 2.8% มาอยู่ที่ 16,371 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการอาหารทะเลแปรรูปในทวีปยุโรปซบเซาและค่าเงินสกุลหลักอ่อนตัว รวมถึงราคาปลาทูน่าที่ยังสูงขึ้น

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 60 ไทยยูเนี่ยน มีกำไรสุทธิ 2,880 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และยอดขายรวมสูงขึ้น 1% เป็น 66,244 ล้านบาท จากปีก่อนหน้านี้ หรือในรูปสกุลเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.6% มาอยู่ที่ 1,910 ล้านเหรียญสหรัฐ

ยอดขายจากผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของไทยยูเนี่ยนยังคงอยู่ที่ 43%ในช่วงครึ่งปีแรก ที่เหลือมาจากธุรกิจการรับจ้างผลิตและธุรกิจบริการทางด้านอาหาร สำหรับยอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกายังคงมีสัดส่วนที่มากที่สุดเท่ากับ 38%ของยอดขายทั้งหมดในช่วง 6 เดือนแรก ปี 60 ตามด้วยตลาดยุโรปเป็นอันดับรองลงมา ด้วยสัดส่วนยอดขายเท่ากับ 33% ตลาดในประเทศไทย มีสัดส่วนเท่ากับ 8% ตลาดญี่ปุ่นมีสัดส่วนเท่ากับ 6%และตลาดอื่นๆ มีสัดส่วนเท่ากับ 15%

ถึงแม้จะเป็นฤดูกาลของธุรกิจที่วุ่นวายน้อย ธุรกิจเรด ล็อบสเตอร์ ในอเมริกา ยังคงแข็งแกร่งและสร้างผลกำไรสุทธิ 235 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยส่วนใหญ่มาจากภาระภาษีที่ลดลงและดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้การควบคุมต้นทุนที่รัดกุม ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาสที่ 2 ลดลง 9.6%จากปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 3,000ล้านบาท และอัตราหนี้สินต่อทุนสุทธิในไตรมาสที่ 2 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 1.33 เท่า จาก 1.37 เมื่อต้นปี เนื่องจากการบริหารเงินสดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

"เรามีความพอใจในผลประกอบการที่มั่นคงนี้มาก ถึงแม้ว่าเราจะคงต้องเผชิญกับความท้าทายในเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบ และสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในหลายตลาดอยู่...ในส่วนการลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน เรด ล็อบสเตอร์และความพยายามในการควบคุมต้นทุนนั้น ได้ส่งผลเชิงบวกให้แก่บริษัท"นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ