โบรกฯแนะ"ซื้อ"SCB มองแนวโน้มสินเชื่อ H2/60 ฟื้นโต H1/60 จากลงทุนภาครัฐหนุน,NPL ทรงตัว-ตั้งสำรองฯลด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 22, 2017 14:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะนำ "ซื้อ" หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) จากแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อในช่วงครึ่งหลังปีนี้ที่จะสูงกว่าครึ่งปีแรกที่ขยายตัวได้ 1.6% จากกลุ่มสินเชื่อลูกค้ารายใหญ่ และกลุ่มลูกค้ารายย่อย ที่มีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนโครงการของภาครัฐ และแนวโน้มกำลังซื้อที่ฟื้นตัวขึ้น ซึ่งจะผลักดันให้การขยายตัวของสินเชื่อธนาคารในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้โต 4-6% แต่มีปัจจัยกดดันทางด้านส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะลดลงจากครึ่งปีแรก เพราะการแข่งขันด้านดอกเบี้ยของอุตสาหกรรมที่รุนแรง

ส่วนแนวโน้มสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะทรงตัวหรือลดลงจากครึ่งปีแรกที่ 2.65% ซึ่งทำให้ NPL สิ้นปี 60 ของธนาคารอยู่ที่ไม่เกิน 3% และส่งผลต่อการตั้งสำรองฯที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง จากการบริหารคุณภาพหนี้ที่ดี และระดับ Coverage Ratio ที่สูงถึง 134% ในครึ่งปีแรก

ราคาหุ้น SCB ช่วงบ่ายอยู่ที่ 143.50 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 0.70% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 0.18%

          โบรกเกอร์                    คำแนะนำ               ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          เอเชีย เวลท์                    ซื้อ                        185.00
          ฟินันเซีย ไซรัส                   ซื้อ                        182.00
          กสิกรไทย                       ซื้อ                        178.00
          แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์                ซื้อ                        175.00
          ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)           ซื้อ                        175.00
          ทรีนีตี้                          ซื้อ                        174.00
          เอเอสแอล                      ซื้อ                        172.00
          บีวหลวง                        ซื้อ                        167.00
          แอพเพิล เวลธ์                   ซื้อ                        166.50

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.บัวหลวง แนะนำ"ซื้อ"SCB ราคาเป้าหมาย 167 บาท/หุ้น หลังมองแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อของธนาคารในช่วงครึ่งหลังปีนี้ มีโอกาสทำได้สูงกว่าครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 1.6% จากการทยอยฟื้นตัวของภาคการบริโภคในประเทศ รวมไปถึงความต้องการสินเชื่อของลูกค้ารายใหญ่ และลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่กำลังจะเตรียมลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งคาดว่าการขยายตัวของสินเชื่อของ SCB ในปีนี้จะขยายตัวได้ราว 4%

อย่างไรก็ตาม ได้ปรับลดประมาณการกำไรของธนาคารในปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ 4.95 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าอยู่ที่ราว 5.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากธนาคารมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 5.3% หรือคิดเป็นเกือบ 5.9 หมื่นล้านบาท จากการที่ธนาคารจะใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมากในปีนี้เพื่อการพัฒนาระบบไอที ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับดิจิตอลแบงก์กิ้ง

ขณะที่คุณภาพหนี้ของธนาคารมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรก NPL ของธนาคารอยู่ที่ 2.65% ซึ่งคาดว่าไปถึงสิ้นปี 60 มีแนวโน้มที่ NPL จะอยู่ในระดับต่ำกว่า 3% และมีโอกาสปรับลดการตั้งสำรองฯในครึ่งปีหลัง เพราะอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสะสมต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 134% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ธนาคารตั้งไว้ที่ 130% ทำให้มองว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งสำรองฯเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ และคาดว่าธนาคารจะรักษา Coverage Ratio สิ้นปีนี้อยู่ในระดับเป้าหมายที่ 130%

นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ แนะนำ "ซื้อ" SCB ราคาเป้าหมาย 174 บาท/หุ้น โดยมองแนวโน้มภาพรวมของผลการดำเนินงานของธนาคารในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะภาพของสินเชื่อที่จะเห็นการขยายตัวได้เพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งปีแรกที่ขยายตัวได้เพียง 1.6% ซึ่งยังมองว่าเป้าหมายที่ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อขยายตัวทั้งปีที่ 4-6% ยังมีโอกาสทำได้ หากเริ่มเห็นแนวโน้มการลงทุนในภาคธุรกิจ และการลงทุนของโครงการภาครัฐ ซึ่งจะช่วยให้ความต้องการสินเชื่อกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น และหากสินเชื่อฟื้นตัวขึ้นดีก็ส่งผลต่อรายได้ดอกเบี้ยให้ปรับตัวขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีปัจจัยกดดันกำไรในปีนี้จากค่าใช้จ่ายของธนาคารที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนด้านดิจิตอลแบงก์กิ้ง และรายได้จากดอกเบี้ยสินเชื่อที่ปรับตัวลดลงจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา แต่มองว่ายังไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรของธนาคาร เพราะคุณภาพหนี้ของธนาคารดีขึ้น โดยในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี หลังจากที่ธนาคารระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มนี้มาระยะหนึ่งแล้ว และมีการตั้งสำรองฯในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้มี Coverage Ratio สูงกว่า 130% ซึ่งเป็นระดับที่สูง ทำให้มีแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองฯลดลง และยังคงประมาณการกำไรของธนาคารในปีนี้อยู่ที่ 5.09 หมื่นล้านบาท

ด้านนักวิเคราะห์ บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ แนะนำ "ซื้อ" SCB ราคาเป้าหมาย 175 บาท/หุ้น หลังจากมีมุมมองต่อการตั้งสำรองฯในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะลดลงจากครึ่งปีแรก และทำให้การตั้งสำรองฯทั้งปีนี้จะต่ำกว่าประมาณการที่ 2.4 หมื่นล้านบาท หรือมาอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท จากการที่แนวโน้มของ NPL ในช่วงครึ่งปีหลังยังทรงตัวจากครึ่งปีแรกที่ 2.65% และยังไม่มีสัญญาณของหนี้เสียในกลุ่มลูกค้ารายใหญ่เกิดขึ้น ประกอบกับ สถานการณ์ NPL ของกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีมีความกังวลลดลง หลังจากที่ธนาคารระมัดระวังและไม่เน้นปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าเอสเอ็มอีมากนัก โดยคาดว่า NPL ของธนาคารในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ไม่เกิน 3%

แม้ว่าปัจจัยกดดันจากการตั้งสำรองฯจะลดลงไป แต่มีปัจจัยกดดันอื่นที่เข้ามากดดันกำไรในปีนี้ ได้แก่ แนวโน้มของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่อาจจะลดลงจากครึ่งปีแรกที่ 3.19% จากการแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ยของอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างรุนแรง และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเดินหน้าลงทุนพัฒนาระบบดิจิตอลแบงก์กิ้งของธนาคาร ทำให้ปรับลดประมาณการกำไรของธนาคารในปีนี้เป็น 4.8 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ 5 หมื่นล้านบาท

ขณะที่แนวโน้มของสินเชื่อในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัวได้มากกว่าครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 1.6% และมีโอกาสทำได้ตามเป้าหมายของธนาคารที่ตั้งไว้ว่าทั้งปีนี้สินเชื่อจะขยายตัว 4-6% โดยหลีกยังมาจากสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น และการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการโครงการภาครัฐ รวมถึงสินเชื่อรายย่อย หากการบริโภคในประเทศฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังตามที่คาดไว้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ