PTG ดัน AUTOBACS ลุยขยายสาขาปั้นรายได้แตะ 6 พันลบ./ปี,เจรจาลงทุนอาหาร-บริการเพิ่ม 1-2 รายในปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 23, 2017 18:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เปิดเผยว่า หลังจากการเข้าซื้อขายหุ้น และสัญญาร่วมทุนกับบริษัท สยาม ออโต้ แบคส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท ออโต้แบคส์ เซเว่น จำกัด โดยบริษัทเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 38.26% หรือคิดเป็นมูลค่า 65 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายศูนย์บริการ AUTOBACS ให้เพิ่มเป็น 240 สาขา ภายในปี 65 โดยใช้งบลงทุนสำหรับการขยายสาขาทั้งหมดในช่วงปี 60-65 จำนวน 1.4 พันล้านบาท โดยการขยายสาขาจะแบ่งเป็นศูนย์บริการ AUTOBACS นอกปั๊ม PT จำนวน 140 สาขา และศูนย์บริการ AUTOBACS ภายในปั๊ม PT จำนวน 100 สาขา จากปัจจุบันมีศูนย์บริการ AUTOBACS ในประเทศไทย 7 สาขา โดยมีสาขาในกรุงเทพฯ 6 สาขา และศรีราชา 1 สาขา

นอกจากนี้บริษัทยังตั้งเป้าให้ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร AUTOBACS ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรมธุรกิจออโต้เซอร์วิสในประเทศไทย ภายในปี 65 ทั้งในแง่ของจำนวนสาขาและรายได้ โดยจะมีสาขาทั้งหมด 240 สาขา และมีรายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้สามารถเทียบกับเจ้าตลาดอันดับ 1 ในปัจจุบันที่มีจำนวนสาขามากที่สุด 130 สาขา และมีรายได้อยู่ที่ 6 พันล้านบาท ซึ่งศูนย์บริการรถยนต์ AUTOBACS ในปี 59 มีรายได้มากกว่า 100 ล้านบาท พร้อมกันนี้ตั้งเป้าขยายสาขาปีละ 40 สาขา

ขณะเดียวกันบริษัทยังเดินหน้าเพื่อมองหาการเข้าซื้อธุรกิจใหม่ที่เป็นธุรกิจในกลุ่มอาหารและบริการ (Food & Service) เพื่อเข้ามาสนับสนุนให้สัดส่วนกำไรจากธุกิจ Non-Oil ในปี 65 เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 60% จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Non-Oil อยู่ที่ 9% โดยในปีนี้บริษัทคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการเข้าซื้อกิจการอีก 1-2 ราย ในช่วงที่เหลือของปีนี้

โดยยังมีเงินที่ใช้สำหรับการลงทุนธุรกิจใหม่เหลืออีกราว 500 ล้านบาท จากเงินลงทุนสำหรับธุรกิจใหม่ที่ตั้งไว้ 1 พันล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทได้เข้าซื้อธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ Coffee World, Cream & Fudge เข้ามา และล่าสุดศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร AUTOBACS พร้อมกับตั้งเป้าในแต่ละปีจะมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจ Non-Oil ติบโต 6-10% โดยในช่วงปีนี้คาดว่าสัดส่วนกำไรจากธุรกิจ Non-Oil จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 8-10% ส่วนที่เหลือเป็นสัดส่วนกำไรจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิจะยังทำสถิติสูงสุดได้ต่อเนื่องจากปีก่อนที่ 1.07 พันล้านบาท แม้ว่าแนวโน้มของกำไรในช่วง 9 เดือนของปี 60 เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 59 บริษัทคาดว่าจะมีกำไรลดลงราว 10% เนื่องจากปัจจัยกดดันของค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าปัจจุบันค่าการตลาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ที่ 1.70-1.80 บาท/ลิตร ขณะที่ราคาขายน้ำมันอยู่ในระดับที่ 24.40 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของบริษัทที่ 25 บาท/ลิตร ซึ่งจะกดดันผลการดำเนินงานในแง่ของกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนที่จะมีกำไรที่ลดลง ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเดียวกับผู้ประกอบการอื่นในอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าภาพรวมของผลการดำเนินงานทั้งในแง่ของรายได้และกำไรจะกลับมาเห็นการขยายตัวอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/60 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ที่มีการใช้น้ำมันเพิ่มมากขึ้น และแนวโน้มราคาน้ำมันและค่าการตลาดจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับจะมีรายได้และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจใหม่เข้ามาเสริม ทำให้ทั้งปี 60 ผลการดำเนินงานจะยังเป็นบวกได้และเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่ากำไรจะทำสถิติสูงสุด และมีรายได้รวมอยู่ที่ 9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 6.49 หมื่นล้านบาท แต่ในด้านอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) บริษัทได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ 25-30% จากเดิมที่คาดว่าอยู่ที่ 50-60% จากค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำและราคาขายน้ำมันที่ยังต่ำกว่าคาด

ส่วนปริมาณการขายน้ำมันในปีนี้บริษัทยังมองว่าจะยังสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเป้าขายอยู่ที่ 3.7 พันล้านลิตรได้ จากครึ่งปีแรกที่มีปริมาณการขายน้ำมนอยู่ที่ 1.7 พันล้านลิตร ซึ่งแนวโน้มการใช้น้ำมันในช่วงที่ผ่านมาถือว่าชะลอตัวลง จากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ทำให้ประชาชนยังมีความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย แม้ว่าราคาน้ำมันจะยังอยู่ในระดับต่ำ แต่มองว่าปริมาณการใช้น้ำมันจะกลับมาโดเด่นขึ้นในช่วงไตรมาส 4/60 ซึ่งมีโอกาสจะช่วยผลักดันปริมาณการขยายน้ำมันของบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมายได้

ขณะเดียวกันบริษัทได้ปรับเพิ่มจำนวนสมาชิกผู้ถือบัตร MAX Card ในสิ้นปีนี้เป็น 7.6 ล้านใบ จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งเป้าไว้สิ้นปี 60 อยู่ที่ 7.4 ล้านใบ หลังจากที่จำนวนผู้ถือบัตร MAX Card ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาเป็นทั้งหมดเกือบ 7 ล้านใบแล้ว และยังคงเป้าหมายในปี 65 จะมีจำนวนผู้ถือบัตร MAX Card ทั้งหมด 17 ล้านใบ ด้านการขยายสาขาปั๊มน้ำมัน PT ในสิ้นปีนี้จะขยายให้มีทั้งหมด 1,800 แห่ง จากระดับ 1,400 แห่งในปัจจุบัน พร้อมกับขยายสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทยเพิ่มเป็น 200 สาขา ในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งหมด 107 สาขา และขยายสาขาร้านสะดวกซื้อ MAX Mart เพิ่มเป็น 140 สาขา ในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 60 สาขา โดยใช้งบลงทุนราว 3 พันล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ