ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม ASK ที่ “BBB+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 6, 2017 16:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) ที่ระดับ “BBB+" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารของบริษัทที่มีประสบการณ์ในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์และภาพรวมความเสี่ยงทางธุรกิจและการเงินของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง

นอกจากนี้ ปัจจัยอื่น ๆ ที่สนับสนุนอันดับเครดิตยังประกอบด้วยสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ในตลาดเฉพาะกลุ่มของรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ตลอดจนการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ด้วยเช่นกัน อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลการดำเนินงานทางการเงินที่มีเสถียรภาพของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งเหล่านี้ลดทอนลงบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงและคุณภาพสินเชื่อของบริษัทที่ถดถอยลง

ASK เป็นบริษัทลูกในกลุ่ม Chailease จากประเทศไต้หวันซึ่งถือหุ้นของบริษัทผ่านบริษัทลูก 2 แห่งรวม 48.18% คือ Chailease Finance Co., Ltd. ซึ่งถือหุ้นบริษัท 36.61% และ Chailease International (Malaysia) Co., Ltd. ซึ่งถือหุ้นบริษัท 11.57% งบการเงินของบริษัทถูกรวมเข้ากับงบการเงินของ Chalease Finance ภายใต้เกณฑ์การมีอำนาจควบคุมเหนือบริษัท ในปี 2559 รายได้ของบริษัทมีสัดส่วนคิดเป็น 6.8% ของรายได้ของกลุ่ม Chailease

ในจำนวนสินเชื่อรวมของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2560 นั้น 85.3% เป็นสินเชื่อรถยนต์สำหรับลูกค้ารายย่อยซึ่งดำเนินการโดยบริษัทโดยตรง สัดส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับใกล้เคียงกันนี้มาตั้งแต่ปี 2553 ในขณะที่สัดส่วนสินเชื่อลีสซิ่งและแฟคตอริ่งของบริษัทในเครือที่บริษัทถือหุ้นทั้งหมดคือ บริษัท กรุงเทพแกรนด์แปซิฟิคลีส จำกัด (มหาชน) อยู่ที่ระดับ 11% และ 2.8% ตามลำดับ สินเชื่อรวมของบริษัทในปี 2553-2556 ขยายตัวมากกว่า 10% ทุกปี อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2557-2559 การชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจที่ผ่านมาผนวกกับการแข่งขันที่รุนแรงส่งผลให้สินเชื่อรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเพียง 3%-5% ต่อปี

ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของฐานลูกค้าโดยรวมของบริษัทอยู่ในระดับต่ำอันเนื่องมาจากลักษณะของสินเชื่อรถยนต์สำหรับลูกค้ารายย่อย นอกจากนี้ การกระจายตัวของส่วนผสมของผลิตภัณฑ์สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์สำหรับลูกค้ารายย่อยยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในด้านผลิตภัณฑ์ของสินเชื่อได้ด้วย โดย ณ เดือนมิถุนายน 2560 สินเชื่อรถยนต์สำหรับลูกค้ารายย่อยคงค้างประกอบด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่ 58% รถยนต์นั่งและรถกระบะ 22% รถตู้ 8% รถแท็กซี่ 7% และอื่น ๆ อีก 5% โดยทั่วไปแล้ว แม้ว่าสินเชื่อสำหรับยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ เช่น รถบรรทุก รถตู้ และรถแท็กซี่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่ส่วนผสมของสินเชื่อที่มีสินทรัพย์ประเภทดังกล่าวจะทำให้ผู้ประกอบการมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน ดังนั้น เพื่อลดทอนความเสี่ยงที่สูงขึ้น บริษัทจึงใช้กลยุทธ์ในการแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อเน้นสินเชื่อเฉพาะผลิตภัณฑ์และกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงน้อยเพื่อลดความเสี่ยงของสินเชื่อในภาพรวมลง

ในอดีตอัตราส่วนของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ค้างชำระมากกว่า 3 งวด) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่น ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความสามารถ ตลอดจนมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และมีนโยบายการอนุมัติสินเชื่อที่ระมัดระวัง อย่างไรก็ดี อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1.7% ในปี 2557 และ 3% ในปี 2558 อัตราส่วนดังกล่าวยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 4% ในปี 2559 และ 4.2% ณ เดือนมิถุนายน 2560 แม้ว่าบริษัทจะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นโดยอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 2556 เป็น 2.3% ณ เดือนมิถุนายน 2560 แต่การเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ก็ส่งผลให้อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับลดลงจาก 91.6% ณ สิ้นปี 2556 เป็น 54.6% ณ เดือนมิถุนายน 2560

กำไรสุทธิของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2559 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 707 ล้านบาทในปี 2559 จาก 681 ล้านบาทในปี 2558 และเพิ่มขึ้นเป็น 360 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 เทียบกับ 356 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2559 อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับคงที่ โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยรักษาระดับอยู่ที่ประมาณ 2.4% มาตั้งแต่ปี 2557 การรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับนี้ได้นั้นมาจากหลากหลายปัจจัย โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่าคู่แข่งเนื่องจากบริษัทเลือกใช้เงินกู้ระยะสั้นในการขยายสินเชื่อ รวมถึงยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อีกด้วย

บริษัทมีแหล่งเงินทุนที่กระจายตัวไปในสถาบันการเงินหลายแห่ง รวมถึงยังมีการระดมทุนจากตลาดทุนผ่านการออกตั๋วแลกเงินและหุ้นกู้ด้วย บริษัทมีวงเงินจากธนาคารที่เกี่ยวข้องกัน คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และสถาบันการเงินอื่น ๆ ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนสำรองเพื่อลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการใช้แหล่งเงินกู้ยืมระยะสั้นเพื่อควบคุมต้นทุนทางการเงินซึ่งส่งผลทำให้มีความไม่สอดคล้องกันในอายุของสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาวที่ครบกำหนดอายุไม่เกิน 1 ปีรวมกันอยู่ที่ระดับ 58% ของแหล่งเงินทุนทั้งหมด อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงดังกล่าวลดทอนลงได้จากการมีกระแสเงินสดจากการชำระค่างวดของลูกค้าและวงเงินสำรองที่เพียงพอต่อความต้องการเงินทุนของบริษัท โดยทริสเรทติ้งหวังว่าบริษัทจะเตรียมวงเงินสำรองที่เพียงพอสำหรับชำระหนี้ตั๋วแลกเงินและหุ้นกู้ระยะสั้นซึ่งมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมใหม่เพื่อชำระหนี้เก่า (Refinancing Risk) ความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับปานกลางโดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ระดับประมาณ 6 เท่ามาตั้งแต่ปี 2557 สำหรับมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 ที่จะบังคับใช้ในปี 2562 นั้นอาจส่งผลกระทบต่อส่วนทุนของบริษัทเนื่องจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้น

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดในตลาดเฉพาะกลุ่มสำหรับยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ต่อไปได้ การมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความสามารถ ตลอดจนระบบการบริหารความเสี่ยงและระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ รวมถึงรักษาระดับความสามารถในการกำไรในระดับหรือใกล้เคียงกับปัจจุบันไว้ได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะยังคงให้การสนับสนุนบริษัทต่อไป

อันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับขึ้นได้หากบริษัทสามารถปรับสถานะทางการตลาดให้เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ยังสามารถรักษาระดับคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ พร้อมทั้งมีผลประกอบการทางการเงินที่น่าพอใจ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากสถานะทางการตลาดอ่อนแอลง หรือคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทถดถอยลงโดยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมมากกว่า 5% และส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท การขยายสินเชื่อในเชิงรุกโดยใช้เงินกู้ซึ่งบั่นทอนความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุนก็อาจกระทบต่ออันดับเครดิตในทางลบได้ด้วยเช่นกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ