BANPU แจงกำไร Q3/60 เติบโตมากจากงวดปีก่อน รับผลบวกราคาถ่านหินสูงขึ้นต่อเนื่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 10, 2017 10:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/60 มีรายได้จากการขายรวม 720 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 134 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวม 61 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากจำนวน 2 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ด้วยแรงหนุนจากราคาตลาดถ่านหินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าลงทุนตามกลยุทธ์ Banpu Greener & Smarter มุ่งมั่นนำพาองค์กรสู่ธุรกิจพลังงานยุคใหม่

"ในไตรมาส 3/60 ผลการดำเนินงานของธุรกิจถ่านหินเติบโตจากปัจจัยด้านราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การดำเนินงานของธุรกิจไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าหงสา และ BLCP เป็นไปตามแผน นอกจากนี้ ยังเดินหน้าลงทุนใน 3 ธุรกิจด้านพลังงานสะอาด ตามแผนกลยุทธ์ Banpu Greener & Smarter ที่วางไว้ ได้แก่ การขยายกำลังการผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น การวางระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจรในประเทศไทยของ บ้านปู อินฟิเนอร์จี ภายใต้แนวคิด Go Green Together ที่เปิดตัวไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ รวมทั้ง การเข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในซันซีป กรุ๊ป ผู้นำด้านการให้บริการพลังงานสะอาดแบบครบวงจรรายใหญ่ในสิงคโปร์ และการลงทุนเพิ่มเติมของธุรกิจก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นแหล่งที่ 5"นางสมฤดี กล่าว

นางสมฤดี กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของกลุ่มบ้านปู สามารถจำแนกตามประเภทธุรกิจได้ดังนี้ ธุรกิจถ่านหิน มีรายได้จากการขาย 664 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อนหน้า และ มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 225 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของไตรมาสนี้ เท่ากับ 73.83 เหรียญสหรัฐต่อตัน เปรียบเทียบกับราคาขายถ่านหินเฉลี่ยในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 50.79 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23.04 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือคิดเป็น 45% ซึ่งเป็นผลจากราคาถ่านหินในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ธุรกิจถ่านหินในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย มีปริมาณขายถ่านหินจำนวน 5.34 ล้านตันใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากสภาวะการผลิตที่ไม่เอื้ออำนวยจากฤดูฝนที่ยาวนานกว่าปกติในช่วงปีนี้ ,ธุรกิจถ่านหินในประเทศออสเตรเลีย มีผลการดำเนินงานที่ดี ปริมาณขายถ่านหินปรับสูงขึ้นเป็น 3.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 8 %จากไตรมาสก่อนหน้าและลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนธุรกิจถ่านหินในสาธารณรัฐประชาชนจีน มีผลประกอบการที่สะท้อนสภาวะราคาถ่านหินในประเทศที่แข็งแกร่ง โดยส่วนแบ่งกำไรจากเหมืองเกาเหอและเฮ่อปี้รวมคิดเป็น 31 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับสูงขึ้น 49% จากไตรมาสก่อนหน้า และธุรกิจไฟฟ้า มีรายได้จากการขายจากธุรกิจ ไฟฟ้า ไอน้ำ และอื่นๆ รวม 48 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในไตรมาสนี้ โรงไฟฟ้า BLCP และโรงไฟฟ้าหงสามีช่วงหยุดซ่อมบำรุงตามแผนที่วางไว้ ในขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมในจีนรายงานกำไรสุทธิลดลงจากต้นทุนราคาถ่านหินที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจไฟฟ้ามี EBITDA ระดับ 32 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 45% จากไตรมาสก่อนหน้า

ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ มีรายได้จากการขาย และ EBITDA ทรงตัวเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 6 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ

นอกจากนี้ ด้วยปัจจัยอุปสงค์และอุปทานของก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกา บ้านปูฯ จึงลงทุนเพิ่มเติมเป็นแหล่งที่ 5 (NEPA หรือ Northeast Pennsylvania) ในบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของแหล่งก๊าซธรรมชาติ Marcellus shale ในมลรัฐเพลซิลเวเนีย ด้วยจำนวนเงิน 210 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการลงทุนครั้งนี้เป็นการถือครองผลประโยชน์ในฐานะผู้ดำเนินการผลิต และเป็นไปตามกลยุทธ์การลงทุนในแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สร้างกระแสเงินสดอยู่แล้ว มีกำไรที่รับรู้ได้ทันที มีความเสี่ยงต่ำ จึงเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มระยะยาวให้แก่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบ้านปูฯ ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

“ปัจจุบัน แหล่งก๊าซธรรมชาติทั้ง 5 แหล่งของบ้านปูฯ ใช้งบลงทุนไปแล้วทั้งหมด 417 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ14,290 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับงบลงทุนที่ตั้งไว้ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 17,135 ล้านบาท) แต่ในขณะเดียวกันเรามีกำลังการผลิตรวม 149 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเติบโตเกือบเป็น 2 เท่าจากเป้าหมายเดิมที่เราวางไว้ว่าจะต้องมีกำลังการผลิตรวม 78 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ภายใน 5 ปี หรือ ปี 2563" นางสมฤดี กล่าว

นางสมฤดี กล่าวว่า ในไตรมาสนี้ บริษัทบันทึกขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 17 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 582 ล้านบาท) เป็นผลมาจากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิที่ยังไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนทรงตัวอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 78 ล้านเหรียญสหรัฐ และสูงขึ้นอย่างชัดเจนจากจำนวน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีก่อนหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ