JSP ตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิปีหน้าเพิ่มเป็น 10% จากปีนี้ 5% หลังเน้นแนวราบระดับราคา 3-5 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 20, 2017 16:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บมจ.เจ.เอส.พี พร็อพเพอร์ตี้ (JSP) เปิดเผยว่า ในปี 61 บริษัทจะเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมกับเน้นสร้างกำไรสุทธิให้เติบโตอย่างมั่นคง โดยตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยุ่ที่ 10% จากราว 5% ในปีนี้ หลังจะเน้นพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีอัตรากำไรสุทธิที่ดีเฉลี่ยอยู่ที่ 9% อีกทั้งจะปรับเพิ่มราคาขายที่อยู่อาศัยอีก 5-10% ในปีหน้า

ด้านรายได้ในปี 61 ตั้งเป้าอยู่ที่ 5.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 15% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 4.4-5 พันล้านบาท หลังจะทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาอีก 2.5 พันล้านบาท จากที่มีอยู่ในปัจจุบัน 4 พันล้านบาท โดยจะโอนคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่เข้ามา 2 โครงการ คือ โครงการ เจ คอนโด สาทร-กัลปพฤกษ์ และโครงการเจ คอนโด พระราม 2 ซึ่งจะรับรู้รายได้เข้ามาในปี 61 ราว 730 ล้านบาท

ส่วนยอดขายในปี 61 ตั้งเป้าหมายอยู่ที่ 5 พันล้านบาท สูงขึ้นจากราว 3 พันล้านบาทในปีนี้ หลังเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ซึ่งจะเน้นโครงการแนวราบที่เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่ารวม 3.97 พันล้านบาท แบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยว 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ J Villa Executive วงแหวน-บางใหญ่ โครงการ J Villa บางปะกง-บ้านโพธิ์ และโครงการบ้านเดี่ยว บางเสร่-ชลบุรี ส่วนโครงการบ้านแฝดอีก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ J City วงแหวน-บางใหญ่ โครงการ J Villa รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง และโครงการ The Theorist สาทร-กัลปพฤกษ์

ขณะเดียวกันบริษัทยังพิจารณาแบ่งขายที่ดินของโครงการไมอามี่ บางปู บางส่วนตามความเหมาะสมออกไป เนื่องจากอัตราการเช่าพื้นที่ของโครงการไมอามี่ บางปู มีอัตราการเช่าต่ำกว่า 60% ป็นเพราะบางพื้นทีผู้ที่เข้ามาใช้บริการไม่ได้เดินเข้าไปถึงในทำเลนั้น ซึ่งบริษัทเล็งเห็นว่าอาจจะพิจารณาการขายพื้นที่เพิ่มออกไปอีก จากที่ขายไปแล้ว 6 ไร่ จะบันทึกกำไรเข้ามาในไตรมาส 4/60 จำนวน 178 ล้านบาท โดยพื้นที่ที่เหลืออยู่อีก 25 ไร่ จะทยอยขายตามความเหมาะสม โดยราคาที่ดินของโครงการไมอามี่ บางปู มีต้นทุนราคาที่ดินอยู่ที่ 5-6 ล้านบาท/ตางรางวา แต่ปัจจุบันราคาที่ดินเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20-25 ล้านบาท/ตางรางวา

นอกจากนี้ยังจะปรับอัตราค่าเช่าของพื้นที่เช่าในโครงการสำเพ็ง 2 เพิ่มขึ้นสงกว่าปัจจุบันที่เฉลี่ยอยู่ที่ 250 บาท/ตางรางเมตร/เดือน ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเช่าเฉลี่ยที่บริษัทตั้งไว้ 500 บาท/ตารางเมตร/เดือน โดยบริษัทจะปรับอายุสัญญาเช่าของผู้เช่าให้เป็น 1 ปี ทั้งหมด พร้อมกับปรับเปลี่ยนร้านค้าที่จำหน่ายในโครงการสำเพ็ง 2 ให้มีความเหมาะสม โดยปัจจุบันร้านค้าในสำเพ็ง 2 ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร

นายไพโรจน์ กล่าวว่า บริษัทยังเตรียมงบลงทุนในปี 61 รวม 5 พันล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดิน 2 พันล้านบาท และงบสำหรับการก่อสร้าง 3 พันล้านบาท และเตรียมออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 2-2.2 พันล้านบาท ทยอยออก 2 ครั้งในช่วงต้นปีและปลายปี อายุเฉลี่ย 2.5-3 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยราว 3% ต่อปี เพื่อนำเงินมาใช้ชำระคืนหนี้ตั๋วแลกเงินระยะสั้น (B/E) ที่มีอยู่ 1.1 พันล้านบาท เพื่อแปลงเงินกู้ให้มีระยะยาวขึ้นสอดคล้องกับการพัฒนาโครงการที่ใช้เวลาในการทยอยรับรู้ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 4-5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 6-7% ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตของกำไรอีกทางหนึ่งด้วย

ตลอดจนจะลดต้นทุนการขาย โดยเน้นทำการตลาดแบบออนไลน์เป็นหลัก เนื่องจากในปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำยอดขายได้จากออนไลน์ถึง 50% พร้อมกับปรับด้านการบริหารให้มีการจัดไซท์งานให้กระชับพื้นที่มากขึ้น ขณะเดียวกันยุทธศาสตร์ในด้านพื้นที่ก็จะยังคงยึดหัวหาดบุกทำเลฝั่งกรุงเทพฯตะวันออก (Eastern Bangkok) เนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยได้ซื้อที่ดินเพื่อขยายโครงการเพิ่มที่กิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ

นอกจากนี้บริษัท ยังให้ความสนใจในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จึงได้มีการวางงบลงทุนเข้าซื้อที่ดินจำนวน 1.5 พันล้านบาท โดยซื้อที่ดินใน อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา และจ.ชลบุรีเพิ่มเข้ามา

นายไพโรจน์ กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่า จ.ชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีรายได้ประชากรสูงเป็นอันดับ 2 ในขณะที่จ.ฉะเชิงเทรามีรายได้ประชากรสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศ อีกทั้งรัฐบาลไทยยังมีการผลักดันให้ภาคตะวันออกเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งมีการเปิดให้ลงทุน และมีการเข้ามาอยู่อาศัยของชาวต่างชาติมากขึ้น รวมทั้งยังเป็นพื้นที่แหล่งงาน แหล่งที่อยู่อาศัย และแหล่งท่องเที่ยว จึงทำให้มีการกระจุกตัวของประชากรสูง ทางบริษัทจึงมีความมั่นใจในการเข้าไปลงทุนยังพื้นที่ทำเลดังกล่าว

สำหรับภาพรวมในปี 59-60 ที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จในเรื่องอัตราการเติบโตของรายได้ และส่วนแบ่งการตลาด เนื่องจากได้มีการรีแบรนด์ใหม่ทำ J Touch Point และปรับโฟกัสสินค้าเน้นเปิดแนวราบ ในกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทเป็นพอร์ตรายได้หลัก และปรับสไตล์การออกแบบ เพิ่มนวัตกรรม J ID บ้านอัจฉริยะ โดยสองปีที่ผ่านมาบริษัทได้เดินหน้าขยายเปิดโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดไปแล้วกว่า 20 โครงการ ทำให้ยอดขายโตขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในปีนี้ที่บริษัทสามารถทำยอดรายได้สูงขึ้นถึง 60% ขึ้นไปอยู่บนชาร์ตท็อป 10 ของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ ระดับคุณภาพที่มีรายได้สูงสุด และทำให้เป็นที่รู้จักอันดับต้น ๆ ของประเทศ

"ครึ่งปีแรกของปี 60 บริษัทมีรายได้เข้ามาแล้วกว่า 2.12 พันล้านบาท และปัจจุบันมี Backlog ยอดรอโอนเพื่อรอรับรู้รายได้อยู่ที่ 4 พันล้านบาท ซึ่งในช่วงโค้งท้ายปี บริษัทพยามเร่งโอนกรรมสิทธิ์ โดยเน้นการทำการตลาดหนักขึ้นเพื่อให้ได้ตามแผน แม้ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจะมีการชะลอตัวเล็กน้อย แต่ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมนี้ทั้งยอดขายและยอดโอนคาดว่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้รายได้ประมาณการรวมของปี 60 ยังคงเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 4.5-5 พันล้านบาท"นายไพโรจน์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ