(เพิ่มเติม) SIRI เปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ"อณาสิริ"ประเดิมโครงการแรกในอยุธยาระดับราคา 1.89-5 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 20, 2017 17:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางวิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า แสนสิริเปิดแบรนด์แนวราบ ภายใต้ชื่อ “อณาสิริ" เจาะกลุ่มลูกค้าระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกในการพัฒนาโครงการ Low Rise แบบมิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ในโครงการเดียวกันตอบรับทุกความต้องการ ครอบคลุมตลาดโครงการแนวราบในทุกเซกเมนต์

แบรนด์อณาสิริ มีคอนเซ็ปต์ว่า “LIVABLE LIVES"มาจากคำว่า “อณา + แสนสิริ" บ้านที่รวมสังคมดีๆ เอาไว้ด้วยกัน เตรียมเปิดตัวโครงการแรกในจังหวัดอยุธยาที่เป็นทำเลที่บริษัทไม่เคยเข้าไปพัฒนาโครงการมาก่อน โดย“อณาสิริ อยุธยา" จำนวน 318 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นออกแบบสไตล์ Minimal Loft สมัยใหม่ รวมสไตล์แห่งยุคกับเสน่ห์แห่งเมือง สอดแทรกด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นในวิถีการอยู่อาศัยและการสร้างบ้าน เช่น การใช้สีอิฐ (สีส้ม) เสนอขายราคา 1.89-5 ล้านบาท พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการวันที่ 25-26 พ.ย.นี้

“แสนสิริเปิดตัวแบรนด์ใหม่ อณาสิริ บนทำเลอยุธยาครั้งแรก เพราะเราศึกษาและพบว่าทำเลนี้มีศักภาพสูง โดยอยุธยาเป็นศูนย์กลางการเดินทางไปยังภาคเหนือและภาคอีสาน เปรียบดั่งบ้านหลังที่ 2 ของคนกรุงเทพฯ และเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้มีผู้คนย้ายเข้ามาในพื้นที่เป็นจำนวนมากและมีความต้องการที่อยู่อาศัย ซึ่งกลุ่มดีมานด์หลักคือกลุ่มคนในท้องถิ่น หน่วยงานราชการ รวมไปถึงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยเอง และปล่อยเช่า"

ทั้งนี้ สำหรับซัพพลายในทำเลอยุธยา ส่วนใหญ่เน้นเปิดโครงการทาวน์เฮาส์ โดยมีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 3,072 ยูนิต คิดเป็น 55% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด รองลงมาคือบ้านเดี่ยว มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 2,249 ยูนิต คิดเป็น 40% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด และ คอนโดมิเนียม มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 294 ยูนิต คิดเป็นส่วนแบ่ง 5% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด

ขณะที่ดีมานด์ที่นิยมที่สุดคือ ทาวน์เฮาส์ ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยโซนนิคมอุตสาหกรรมได้รับความนิยมสูงสุด อัตราการดูดซับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่บ้านเดี่ยว ราคาที่ได้รับความนิยมคือ 3.00-4.99 ล้านบาท ในโซนอยุธยา-บ้านแพรก อัตราตอบรับดีเฉลี่ย 3 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนราคาที่ดินของอยุธยา โซนที่ราคาสูงที่สุดอยู่ที่ โซนนิคมอุตสาหกรรม ถนนโรจนะ ถนนพหลโยธินใน อ.บางปะอิน ซึ่ง เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม อยู่ที่ประมาณ 20,000-50,000 บาทต่อตารางวา รองลงมาคือ โซนอยุธยา-บ้านแพรก ถนนอู่ทอง ถนนนเรศวร อยู่ที่ 30,000 - 40,000 บาทต่อตารางวา และโซนลาดบัวหลวง-ผักไห่ ถนน ศรีเสนา ราคาประเมิน อยู่ที่ 15,000-25,000 บาทต่อตารางวา

นางวิลาสิณี กล่าวว่า ทำเลอยุธยามีแนวโน้มในการเติบโตที่ดี รายล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ประกอบด้วยวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดใหญ่ชัยมงคล โรงแรมและคาเฟ่ต่างๆมากมาย จึงทำให้วันหยุดมีคนเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทั้งคนที่อยู่กรุงเทพฯ เนื่องจากใกล้กรุงเทพฯ มากเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงเศษ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยว ซึ่งมองว่าอยุธยาในอนาคตจะเติบโตนและเป็นทำเลที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ที่น่าจับตามองอีกทำเลหนึ่ง"

สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยโครงการแนวราบมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และมีดีมานด์จริงที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยที่สูง ส่งผลให้ปีนี้ยอดขายแนวราบของแสนสิริเป็นไปได้สวย ปัจจุบันแสนสิริมียอดขายโครงการแนวราบ 10 เดือน ปิดยอดขายได้ 11,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากรอบ 10 เดือนของปีก่อนถึงเกือบ 30% โดยที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วยอดขาย 10 เดือนอยู่ที่ 8,485 ล้านบาท และก้าวสู่ 75% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่ายอดขายแนวราบของปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน

นางวิลาสิณี คาดว่า โครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ "อณาสิริ" บนทำเลอยุธยา จะสามารถขายได้ทั้งหมดภายใน 2 ปีเพราะปัจจุบันมีความต้องการซื้อจากประชากรในพื้นที่ราว 8 แสนคน และจากประชากรแฝงอีกราว 3 แสนคน ในพื้นที่ทำเลอยุธยา และแม้ว่าจะมีโครงการจากบริษัทอื่น ๆ ในพื้นที่ทำเลเดียวกัน แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อยอดขายโครงการของบริษัท เนื่องจากเจาะกลุ่มเป้าหมายคนละตลาด โดยโครงการ "อณาสิริ" จะมีระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งตรงเซกเมนต์ที่สามารถขายได้รวดเร็ว โดยปัจจุบันมีผู้สนใจเข้ามาซื้อและอยู่ระหว่างการเจรจา (Serious Deal) ราว 10-20 ยูนิต ซึ่งในปี 60 บริษัทจะพร้อมขายโครงการในเฟสแรก 40 ยูนิต ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 13 ยูนิต, ทาวน์เฮาส์ 16 ยูนิต และบ้านแฝด 11 ยูนิต

ทั้งนี้ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถขายได้ขั้นต่ำที่ราว 30 ยูนิต โดยในปีนี้จะพร้อมโอนบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ส่วนบ้านแฝดจะพร้อมทยอยโอนในปีหน้า โดยในเฟสแรกกลุ่มเป้าหมายหลักจะเน้นไปที่ลูกค้าที่เข้าอยู่จริง (Real Demand) เช่น คนในพื้นที่ ข้าราชการ และกลุ่มคนทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งโครงการห่างจากนิคมอุสาหกรรมเพียง 5-6 กิโลเมตร

สำหรับเฟสต่อไปจะเน้นทำตลาดการซื้อเพื่อปล่อยเช่า โดยคาดว่าบ้านเดี่ยวจะสามารถมีผลตอบแทน (yeild) ราว 5% ต่อปี ส่วนทาวน์เฮาส์ จะอยู่ระดับไม่เกิน 4% โดยกลุ่มลูกค้าที่จะเช่าเพื่อพักอาศัยจะอยู่ในกลุ่มผู้จัดการโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น เนื่องจากโครงการสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ