(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งแคบ บรรยากาศลงทุนดีขึ้นหลังต่างชาติกลับมาซื้อ,มอง Downside จำกัด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 23, 2017 09:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีรวุฒิ กานต์นิภากุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งแคบหลังจากที่เมื่อวานนี้ขึ้นทดสอบแนว 1,720 จุดแล้วยังไม่ผ่าน แต่บรรยากาศการลงทุนดีขึ้นหลังจากที่นักลงทุนต่างชาติได้กลับมาซื้อ อันเป็นผลจากได้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย ทำให้เชื่อว่าเม็ดเงิน Long Term จะเข้ามาแต่ก็น่าจะเป็นลักษณะของการสะสม ส่งผลให้เห็นว่า Downside จำกัด

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย โดยให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศหลัก และติดตามแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯที่คาดว่าจะมีขึ้นในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนหน้า ด้านราคาน้ำมันถือว่ายังบวกได้ดีอยู่

พร้อมแนะนำหุ้นกลุ่มแบงก์, ค้าปลีก และท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะ Turnaround โดยให้แนวรับ 1,706 จุด ส่วนแนวต้าน 1,720-1,730 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (22 พ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,526.18 จุด ลดลง 64.65 จุด (-0.27%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,597.08 จุด ลดลง 1.95 จุด (-0.08%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,867.36 จุด เพิ่มขึ้น 4.88 จุด (+0.07%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 5.45 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 29.69 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 15.02 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 1.83 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 9.02 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.12 จุด

ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันขอบคุณผู้ใช้แรงงาน

  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (22 พ.ย.60) 1,713.13 จุด เพิ่มขึ้น 2.65 จุด (+0.15%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 870.70 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 พ.ย.60
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (22 พ.ย.60) ปิดที่ระดับ 58.02 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.19 ดอลลาร์ หรือ 2.1%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (22 พ.ย.60) ที่ 7.46 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 32.70 หลายปัจจัยยังกดดันให้เงินบาทแข็งค่าต่อ มองกรอบ 32.65-32.75
  • พาณิชย์เผยส่งออก 10 เดือน โต 9.7% สูงสุดรอบ 6 ปีแรงบวกสินค้าอุตสาหกรรม ฟื้นลุ้นทั้งปีขยายตัว 9-10% ห่วงสินค้าเกษตร หลุด 20 อันดับ ด้าน "สมคิด" ประเมินปีนี้ มีโอกาสโต 10% ขณะ สรท.ฟันธงทะลุ 8% การส่งออกยังคงเป็นภาคหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้ ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ เผยตัวเลขส่งออกเดือน ต.ค.พบว่ายังคงโตต่อเนื่อง ดันส่งออก 10 เดือนโตสูงสุดรอบ 6 ปี
  • สมาคมตลาดตราสารหนี้ เผยนักลงทุนต่างชาติหันซื้อบอนด์สั้น หลังเทขายบอนด์ยาวช่วงต้นเดือนพ.ย. ชี้ 3 วันทำการ ซื้อสุทธิเฉียด 3 หมื่นล้าน คาดพักเงิน รอดูสถานการณ์เรื่องมาตรการภาษีสหรัฐ ขณะเงินบาททยอยแข็งค่า หลังตัวเลขเศรษฐกิจ-ส่งออกเติบโตดี นักบริหารเงินห่วงค่าบาทแข็งมากเกินไป หวั่นปัญหาภาษีสหรัฐคลี่คลาย ฉุดเงินบาทพลิกอ่อนค่า
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุมูลค่าส่งออกสินค้าไทยในเดือน ต.ค.2560 อยู่ที่ 20,083 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 13.1 YoY รักษาโมเมนตัมการเติบโตได้จากเดือนก่อนหน้า หนุนให้มูลค่าส่งออกไทยในช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) ของปี 2560 เติบโตร้อยละ 9.7 YoY จากการขยายตัวสูงของการส่งออกสินค้าในหมวดยานยนต์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงสินค้าที่ราคาเกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน
  • หลังจากนี้คลังจะเร่งดำเนินการใน 2 เรื่องหลักที่สำคัญ คือ เรื่องการส่งสัญญาณทำงบประมาณเข้าสู่สมดุลในระยะปานกลางและระยะยาวหรือระยะ 5-10 ปี ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณให้ตลาดได้รับรู้ว่า เมื่อเอกชนสามารถกลับมาเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ ภาครัฐก็ควรกลับมาสนับสนุนเศรษฐกิจอยู่ข้างหลังอีก ซึ่งการทำงบประมาณสมดุลต้องดูทั้งเรื่องการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและการจัดเก็บรายได้ควบคู่กัน
  • ส.อ.ท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2560 อยู่ที่ระดับ 85.9 ปรับตัวลดลงจากระดับ 86.7 ในเดือนกันยายน ทั้งนี้ ค่าดัชนีฯที่ลดลงเกิดจากองค์ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ ขณะที่ปรับเพิ่มประมาณการการผลิตรถยนต์ในปี 60 ให้สูงขึ้นจากเป้าเดิมอีก 20,000 คัน มาเป็น 1.95 ล้านคัน ซึ่งมากกว่าปี 59 จำนวน 5,583 คัน หรือเพิ่มขึ้น 0.29% หลังเพิ่มยอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 20,000 คัน เป็น 850,000 คัน ขณะที่การผลิตเพื่อส่งออก ยังคงเป้าเดิมที่ 1.1 ล้านคัน

*หุ้นเด่นวันนี้

  • THMUI (บมจ.ไทยมุ้ย คอร์ปอเรชั่น) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีราคาขาย IPO ที่ 2.55 บาท/หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินราคาเหมาะสมปี 2561 โดยอิง PE เฉลี่ยของกลุ่มที่ 20 เท่าได้เท่ากับ 3.10 บาท

บริษัทฯเป็นผู้จัดจำหน่ายลวดสลิงและอุปกรณ์ยกหิ้วให้กับตราสินค้าชั้นนำระดับโลก และมีบริการหลังการขาย รวมถึงทดสอบ + ตรวจสอบ ลวดสลิงและอุปกรณ์ คาดกำไรสุทธิปีนี้ +73% Y-Y และโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 36% ในปี 2561-2562 จากการลงทุนของภาครัฐฯและเอกชน การเพิ่มสินค้าลวดสลิงขนาดใหญ่ การขยายธุรกิจไปจำหน่ายท่อปะปา HDPE และการเพิ่มทีมบริการทดสอบและตรวจสอบที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง

  • PORT (บมจ.สหไทย เทอร์มินอล) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีราคาขาย IPO ที่ 4.50 บาท/หุ้น บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะ"ทยอย"สะสม"หุ้น PORT ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท/หุ้น ด้วย PER เฉลี่ยของกลุ่มที่ 25.6 เท่า คาดกำไรปี 2561 เติบโตโดดเด่นกว่า 129% ที่ 108 ล้านบาท สนับสนุนจากท่าเรือทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ ท่าสหไทย, BBT และธุรกิจรอบด้านที่ขยายตัว (ขนส่งตู้ทางบก-ซ่อมบำรุง – warehouse- Freight fowarder) ในขณะที่คาด Net margin (%) จะค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 8.9%

บริษัทฯ ประกอบธุรกิจท่าเทียบเรือบนแม่น้ำเจ้าพระยา ให้บริการจัดการและบริหารตู้สินค้าคอนเทนเนอร์แก่สายเดินเรือขนส่งสินค้าใน-ต่างประเทศอย่างครบวงจร ซึ่งฐานลูกค้าค่อนข้างมีชื่อเสียงเช่น MAERSK, NYK LINE เป็นต้น ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ของท่าเรือเอกชน (รวม 4 แสนตู้/ปี)

  • ORI (กสิกรไทย) "ซื้อ" เป้า 24.70 บาท บริษัทประกาศเป้าหมายปี 2561 อย่างเป็นทางการ โดยตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้น 65% เป็น 25.0 พันล้านบาท ทำให้เป้าหมายยอดขายจะเพิ่มขึ้น 28% เป็น 18.0 พันล้านบาท ขณะที่รายได้ตั้งเป้าเติบโต 55% เป็น 14.0 พันล้านบาท โดยโครงการใหม่ที่มีแผนก่อสร้างแล้วเสร็จเพิ่มเติม 15.1 พันล้านบาทในปี 2561 จาก 13.2 พันล้านบาท ในปีนี้จะเป็นส่วนสนับสนุนสำคัญ โดยปีหน้านอกเหนือจากโครงการพาร์ค ทองหล่อ (มูลค่า 11.0 พันล้านบาท) แล้ว ORI จะมีการเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้นกว่าปีนี้ โดยจะเพิ่มทาวน์โฮมเข้ามาในพอร์ตการพัฒนาจากปีนี้ที่มีบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดแล้ว นอกจากนี้ยังจะมีการพัฒนาโครงการที่สร้างรายได้ประจำ ทั้งโรงแรม รีเทลและศึกษาการพัฒนาคลังสินค้าอีกด้วย ซึ่งจะทำให้กลุ่มธุรกิจมีความหลากหลายมากขึ้น โดยยังคงมุมมองเชิงบวกต่อพัฒนาการของบริษัท
  • WHAUP (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 9 บาท ผลกำไรยังเติบโตทั้งไตรมาส 4 และปีหน้ารับรู้ผลกำไรจาการลงทุนเต็มปี แนวโน้มธุรกิจยังเติบโตต่อเนื่องทั้งน้ำและไฟฟ้า พร้อมคาดแนวโน้มไตรมาส 4 จะดีขึ้นจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น โดยแนวโน้มผลประกอบการดีต่อเนื่อง ปีหน้ารับรู้ผลกำไรจาการลงทุนเต็มปี และหาโอกาสเติบโตใน CLMV ใช้ Synergy WHA Group รวมถึงมีธุรกิจต่อยอด (1) Private Solar rooftop (2) IE Gas Pipe Distribution (3) Waste-to-Industrial Water

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ