KTBST คาด SET สัปดาห์นี้ยังเผชิญแรงขายจากต่างชาติ-ทิศทางพักฐาน ให้กรอบ 1,680-1,720 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 4, 2017 09:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST ประเมินทิศทางหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (4-8 ธ.ค.) ว่า SET Index ยังมีทิศทางของการพักฐาน แกว่งในกรอบ 1,680-1,720 จุด เป็นผลจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมาจากการตอบรับข่าวบวกไปมากแล้ว กรอปกับมีวันหยุดระหว่างสัปดาห์รวมถึงสัปดาห์หน้ามีวันหยุดหลายวัน โดยจากการที่ตลาดขาดปัจจัยบวกใหม่ ๆ ทำให้นักลงทุนเข้าลงทุนในลักษณะสลับตัวเล่นไปยังหุ้นที่มีข่าวเชิงบวก ส่วนแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศยังคอยกดดันตลาดอยู่ แต่การเข้ามาซื้อขายของหุ้นที่เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ใหญ่ 2 ตัว คือ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) และบมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) อาจเป็นทั้งดึงเงินออกหรือกระจายเงินเข้ามาในตลาดได้ทั้งสองทาง

"เรายังมองตลาดอยู่ในช่วงของการปรับฐาน กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ ยังเหมือนสัปดาห์ก่อน คือ แนะนำให้ขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก (เทียบกับราคาที่เหมาะสมของหุ้น โดยเลือกขายหุ้นที่มี upside เหลือน้อย) ส่วนการซื้อ ควรเลือกเป็นรายตัว เน้นเก็งกำไรช่วงสั้น เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ จะเข้าลงทุนในลักษณะ stock rotation คือหมุนวนหุ้นเล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาในตลาด ในสัปดาห์นี้คาดว่าดัชนีจะยังคงแกว่งในกรอบ 1,680-1,720 จุด หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ TOP, SMPC, BEM , SENA , BR"นายวิน กล่าว

นายวิน กล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่สำคัญในสัปดาห์นี้ที่ต้องติดตามคือ เรื่องนโยบายภาษีของสหรัฐ หลังวุฒิสมาชิกสหรัฐมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ (คะแนน 51:49) ประเด็นดังกล่าวได้สร้างผลบวกต่อตลาดหุ้นในภาพรวม เนื่องจากประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ตลาดติดตามมานาน และมีนักลงทุนบางส่วนคาดว่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้

ขณะเดียวกัน การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ครั้งสุดท้ายของปี จะเกิดขึ้นในวันที่ 12-13 ธ.ค. แต่คาดว่าประเด็นดังกล่าวจะเริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้นในสัปดาห์นี้ โดยตลาดคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 1-1.25% เป็น 1.25-1.5% (โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยรวบรวมโดย Bloomberg อยู่ที่ระดับ 98.3%) จึงต้องติดตามการส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า ซึ่งปัจจุบันคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอยู่ที่ 2-3 ครั้ง ส่วนราคาน้ำมันดิบเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อโดยมีแรงหนุนจากที่ประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และรัสเซีย ในวันที่ 30 พ.ย. มีมติให้ขยายระยะเวลาในการปรับลดกำลังการผลิต ส่วนปัจจัยในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์การส่งออกในปี 2560 มีแนวโน้มจะเติบโต 2 หลัก ซึ่งสูงกว่าที่ประมาณการไว้ที่ 8%

ขณะเดียวกันคาดว่าภายในเดือนนี้จะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชันเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีมูลค่าโครงการประมาณ 123,000 ล้านบาท รวมถึงปัจจัยบวกจากแรงซื้อหุ้นของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ช่วงท้ายของปี โดยปกติแล้วช่วงท้ายของปีจะมีเม็ดเงินจาก LTF และ RMF ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นมากขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ รวมถึงการทำ window dressing ในช่วงเดือนธันวาคมด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ