PTT เตรียมแยกหน่วยธุรกิจท่อก๊าซฯ-คลัง LNG เพื่อบริหารโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน คาดแล้วเสร็จปลายปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 18, 2018 11:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท. (PTT) กล่าวว่า ปตท.เตรียมแยกส่วนธุรกิจบริหารทรัพย์สินเกี่ยวข้องกับท่อก๊าซธรรมชาติ และคลังก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ออกมาเพื่อดำเนินงานภายใต้หน่วยธุรกิจใหม่เป็นหน่วยงานกลางบริหารโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่ปตท.ได้ลงทุนไปแล้ว และรองรับการเปิดให้เอกชนเข้ามาร่วมใช้ได้ โดยปตท.จะไม่แยกออกมาเป็นบริษัทเพราะมีความยุ่งยากและต้องเสียภาษีโอนทรัพย์สิน ซึ่งคาดว่าการแยกหน่วยธุรกิจดังกล่าวจะแล้วเสร็จปลายปีนี้

ที่ผ่านมาปตท.เป็นผู้จัดหาพลังงานเป็นหลัก มีสัญญาซื้อขายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ระยะยาวกับผู้ผลิต 15-20 ปี และมีสัดส่วนนำเข้าตามสัญญาราว 80-90% ทำให้ราคาพลังงานจะไม่สวิงตามราคาตลาดมากนัก ส่วนอีก 10% เป็นการซื้อขายตามราคาตลาดจร (spot)

สำหรับทิศทางราคาน้ำมันในปีนี้ ปตท.ยังคาดราคาน้ำมันดิบดูไบ จะอยู่ในกรอบ 52-58 เหรียญสหรัฐ/บาร์เล แม้ว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขณะนี้จะปรับตัวสูงขึ้นใกล้ระดับ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลก็ตาม แต่มองว่าการปรับขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงนี้เป็นเพียงชั่วคราวจากสภาพอากาศที่หนาวกว่าปกติ และเป็นช่วงฤดูกาลที่มีความต้องการใช้น้ำมันมาก ประกอบกับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ควบคุมระดับการผลิตน้ำมัน ซึ่งเมื่อราคาน้ำมันปรับขึ้นมาระดับหนึ่งก็เชื่อว่าจะทำให้มีการผลิตของกลุ่ม shale oil และ shale gas ออกมาเพิ่มขึ้นซึ่งก็จะกดดันต่อทิศทางราคาน้ำมันได้

ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในขณะนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของกลุ่มปตท.มากนัก เพราะส่วนใหญ่มีการป้องกันความเสี่ยงโดยธรรมชาติ (natural hedge) อยู่แล้ว ขณะที่เงินลงทุนของปตท.ในช่วง 5 ปี (ปี 61-65) มีวงเงินรวมทั้งสิ้น 3.4 แสนล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นเงินที่ใช้เพิ่มทุนในบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (PTTOR) เพื่อรองรับการโอนทรัพย์สินที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ และจะนำ PTTOR เข้าตลาดหุ้นได้ภายในปี 62 นอกจากนี้ปตท.ยังได้จัดเตรียมงบลงทุนในอนาคต (provisional) อีกจำนวน 2.45 แสนล้านบาท รองรับการลงทุนใหม่และที่จะเป็น New S-Curve ของ ปตท. ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

โดยแผนงานในปีนี้ สำหรับหนุ่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ จะเพิ่ม Productivity Improvement และนำ Digitization มาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในการให้บริการเชิงธุรกิจ ,การซื้อก๊าซฯจากแหล่งใหม่ในราคาที่สามารถแข่งขันได้ และบริหารความสมดุลการเรียกรับก๊าซฯ ,สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการเปิดการแข่งขันเสรีธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ,ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ,โครงการส่งก๊าซฯบนบก เส้นที่ 5 จะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง และจะแล้วเสร็จภายในปี 64 ส่วนการก่อสร้างและขยายคลัง LNG จะแล้วเสร็จภายในปี 62

ด้านหน่วยธุรกิจน้ำมันจะเพิ่ม Productivity Improvement ขยาย PTT Compact model บนถนนสายรองที่เชื่อมระหว่างจังหวัดกับตัวอำเภอ รวมถึง Truck station ,บริหารจัดการต้นทุนและระบบคลังสินค้าด้วยการลงทุนสร้าง Intelligent Automated Warehouse ตลอดจนขยายสาขาร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน รวม 2,300 แห่ง และขยายด้วยรูปแบบมาสเตอร์แฟรนไชส์ ในโอมานและภูมิภาคตะวันออก โดยในปี 60 หน่วยธุรกิจน้ำมันมีปริมาณขายน้ำมันรวม 25,984 ล้านลิตร ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว

นอกจากนี้ปตท.ยังมีโครงการ ExpresSo ตอบสนองโอกาสทิศทาง S-Cure 5+5 ของประเทศ โดยลงทุนในบริษัทเทคโลยีที่มีศักยภาพการเติบโตสูง 4-6 บริษัทต่อปี และกองทุน Venture Capital (VC) ที่มีศักยภาพสูง 1 กองทุนต่อ 2 ปี เช่น Robotics & Automation (R&A) ,Material Science

นายเทวินทร์ กล่าวว่า กรณีที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะลดบทบาทปตท.และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นั้นเห็นว่า การให้บทบาทปตท.จัดหาพลังงาน และกฟผ.เป็นผู้ผลิตไฟฟ้า ทำให้ราคาพลังงานและค่าไฟฟ้าไม่ผันผวน ซึ่งเหมือนหลายประเทศที่มีรัฐวิสาหกิจเข้ามามีบทบาทเรื่องพลังงาน และเชื่อว่ารัฐบาลจะไม่ลดบทบาททั้งปตท. และ กฟผ. แต่อาจจะเปิดให้เอกชนเข้ามาได้บางส่วน โดยในส่วนการจัดหาพลังงานของปตท.นั้นจะเปิดให้เอกชนเข้ามาแข่งขันในตลาด spot ที่ปตท.มีสัดส่วน 10%

“ถ้าเปิดให้เอกชนทำโครงสร้างพื้นฐาน ท่อก๊าซฯ คลัง LNG คงจะไม่มีใครมาทำเพราะใช้เงินลงทุนสูง เสี่ยงต่อการขาดทุน"นายเทวินทร์ กล่าว

ด้านนายวิรัตน์ เอื้อนนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ ของ PTT กล่าวถึงธุรกิจถ่านหินว่า การผลิตถ่านหินจากเหมืองในอินโดนีเซียในปีนี้จะกลับอยู่ในระดับ 10 ล้านตัน จากปีก่อนที่ผลิตได้ 8 ล้านตัน ขณะที่ราคาขายปีนี้คาดว่าทรงตัวจากปีก่อนที่มีราคาเฉลี่ยราว 70 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยราคาถ่านหินรีบาวด์ขึ้นมาเป็นแค่ช่วงสั้นแต่คงปรับขึ้นไปได้ไม่มากนัก เพราะจีนซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่พยายามที่จะสร้างสมดุลกันระหว่างการนำเข้าและการผลิตถ่านหินของประเทศ สำหรับลูกค้าหลักของ ปตท.ได้แก่ เกาหลี ญี่ปุ่น โดยมีการขายล่วงหน้าแล้ว 50%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ