แอล เอช ฟันด์ วางเป้าดัน AUM ปี 61 โต 40% แตะ 8.4 หมื่นลบ.เน้นเปิดกองทุนรวมลงทุนตปท.เพิ่มทางเลือกกระจายพอร์ต

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 13, 2018 14:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางจันทนา กาญจนาคม กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (แอล เอช ฟันด์) เปิดเผยว่า ในปี 61 แอล เอช ฟันด์ ตั้งเป้าผลักดันมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) เติบโต 40% จากสิ้นปีที่ผ่านมาเป็นประมาณ 84,000 ล้านบาท โดยมีแผนงานเปิดตัวกองทุนใหม่อีกหลายกองในปีนี้เพื่อผลักดันการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้

ทั้งหลังจากเดือน ม.ค.คมที่ผ่านมาได้เปิดตัวกองทุน ‘แอล เอช โรโบติกส์-E’ ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ผ่านกองทุนรวมชั้นนำในต่างประเทศ และได้รับการตอบรับเกินความคาดหมายจนต้องยื่นขอเพิ่มทุนจดทะเบียนถึง 2 ครั้ง โดยล่าสุด เตรียมเปิดตัวกองทุนแอล เอช อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต–E (LHEM-E) ซึ่งเป็นกองที่ 2 ของปีนี้ เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนเป็นครั้งแรก (IPO) ในเร็วๆนี้

สำหรับภาพรวมการดำเนินงานปีที่ผ่านมา แอล เอช ฟันด์ ยังเติบโตก้าวหน้าได้อย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และผลกำไร โดยมีกองทุนภายใต้การบริหารที่สร้างผลงานโดดเด่นและได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์หลายกองทุน โดยเฉพาะกองทุนเปิด แอล เอช ตราสารหนี้ ชนิดจ่ายเงินปันผล (LHDEBT-D) และกองทุนเปิด แอล เอช เฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ (LHFLRMF) มีผลการดำเนินงานตีต่อเนื่องตลอด 5 ปี (ข้อมูล ณ 30 ธันวาคม 2560)

นอกจากนี้กองทุนของแอล เอช ฟันด์ ยังสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยอย่างสม่ำเสมอตามนโยบายที่กำหนดไว้ จากผลการดำเนินงานที่ดีในปีที่ผ่านมาของกองทุนรวม ส่งผลทำให้ได้รับการไว้วางใจและการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนรายบุคคลหรือนิติบุคคล ส่งผลให้พอร์ตกองทุน Private Fund มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) โตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงกว่า 60%

ด้านนายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า ประเมินทิศทางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อโอกาสการลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนทั้งในฝั่งประเทศพัฒนาแล้วและกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดี ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นในไทยและต่างประเทศยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ โดยประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในปีนี้มีโอกาสที่ดัชนีจะขยับขึ้นแตะระดับ 2,000 จุด แต่อาจมีความผันผวนเกิดขึ้นระหว่างทาง ส่วนตลาดหุ้นต่างประเทศน่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับเพิ่มประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

ดังนั้น ในปี 61 แอล เอช ฟันด์ จึงมีแผนงานเปิดตัวกองทุนใหม่อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เน้นกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศที่มีศักยภาพ หรือผ่านการลงทุนในกองทุน ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยการคัดเลือกอุตสาหกรรมหรือประเทศที่จะเข้าลงทุนนั้น จะพิจารณาจากแนวโน้มระยะยาวหรือ ‘เมกะเทรนด์’ ที่จะเป็นทิศทางขาขึ้นต่อไปได้อีก 3-5 ปีข้างหน้าเพื่อสอดรับกับแนวทางการลงทุนระยะยาว

แอล เอช ฟันด์ มุ่งเน้นการบริหารกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยจะใช้กลยุทธ์ ‘Asset Allocation’ ซึ่งเป็นการแนะนำการจัดพอร์ตลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ พร้อมให้คำแนะนำการปรับพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา โดยมีผู้จัดการกองทุนและทีมงานทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์และประเมินผลกระทบ เพื่อให้คำแนะนำแก่นักลงทุนที่เป็นลูกค้าของแอล เอช ฟันด์ ทุกๆ ไตรมาสเพื่อกำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทและลดผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ

"ปีนี้คงได้เห็นแอล เอช ฟันด์ เปิดตัวกองทุนรวมใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกการกระจายพอร์ตลงทุน โดยปัจจุบันเรามีทีมงานบริหารกองทุนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญคอยติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด ที่จะให้คำแนะนำแก่นักลงทุนปรับพอร์ตเมื่อถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสม" นายมนรัฐ กล่าว

นางจันทนา กาญจนาคม กรรมการผู้อำนวยการ แอล เอช ฟันด์ เปิดเผยว่า ในปี 61 จะมีการปรับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์โดยการเพิ่มกองทุนรวม (Mutual Fund) เป็น 47% ใกล้เคียงกับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่ 41% ส่วนที่เหลือเป็น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) 3% และ กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) 9% จากปีก่อนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Mutual Fund 34% REIT 52% Provident Fund 4% และ Privat Fund 1%

นอกจากนี้ แอล เอช ฟันด์ ยังมีนโยบายการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยเมื่อกองทุนมีกำไร แม้ว่าอีกด้านหนึ่งจะมีข้อเสียคือ NAV ของกองทุนจะลดลงและสินทรัพย์จะเติบโตไม่มาก โดยที่ผ่านมาในปี 60 มีนโยบายการจ่ายปันผลให้ได้มากที่สุด อาทิ กองทุน mixed LHMSFL-D มีการจ่ายปันผลราว 10.13%, กองทุน Fixed Income LHDEBT-D มีการจ่ายปันผล 2.25% ใกล้เคียงกับการฝากเงิน ซึ่งมองว่าผลตอบแทนในปีก่อนยังมีแม้ตลาดยังค่อนข้างซบเซา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ