PTTGC เล็งออกหุ้นกู้ราว 1 หมื่นลบ.Q3/61, วางลงทุนปีนี้ 3 หมื่นลบ.พร้อมศึกษาตั้งโรงรีไซเคิลพลาสติก

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 21, 2018 18:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ราว 1 หมื่นล้านบาทในช่วงไตรมาส 3/61 เพื่อทดแทนหนี้ที่จะครบกำหนดชำระ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินเหลือราว 3.6% โดยที่ผ่านมาบริษัทใช้แนวทางดังกล่าวเพื่อรีไฟแนนซ์หนี้เงินกู้ที่มีต้นทุนดอกเบี้ยแพง ทำให้ปัจจุบันมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยเหลือ 3.9% จากเดิม 4.2% ภาระหนี้ 1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นหนี้สกุลดอลลาร์ ราว 44% และสกุลบาท ราว 56% ขณะที่มีเงินสดในมือราว 6 หมื่นล้านบาท

สำหรับการลงทุนในปีนี้ บริษัทวางเป้าหมายจะใช้เม็ดเงิน 3 หมื่นล้านบาทลงทุนตามแผนงานที่ได้รับอนุมัติแล้ว ซึ่งเป็นโครงการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้แก่ โครงการก่อสร้างโรงโอเลฟินส์แห่งใหม่ ภายใต้ชื่อโครงการ Olefins Reconfiguration Project (ORP) โดยใช้แนฟทา และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เป็นวัตถุดิบหลัก มูลค่าโครงการรวม 985 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 63 ,โครงการ PO/Polyol ลงทุนโพลียูรีเทนครบวงจร มูลค่า 888 ล้านเหรียญสหรัฐ และโครงการ mLLDPE กำลังผลิต 4 แสนตัน/ปี มูลค่าโครงการ 288 ล้านเหรียญสหรัฐ จะเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือน มี.ค.นี้

ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 10% มาที่ระดับ 4.8 แสนล้านบาท บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบที่ระดับ 52 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ล่าสุดราคาน้ำมันได้ปรับขึ้นมาเคลื่อนไหวที่ราว 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้คาดว่าราคาน้ำมันในปีนี้น่าจะเคลื่อนไหวในช่วง 60-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดังนั้น บริษัทอาจจะปรับเพิ่มประมาณการเป้าหมายการดำเนินงานใหม่หลังจากผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 ออกมาแล้ว

เบื้องต้นการใช้กำลังการผลิตรวมของบริษัทในปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีหยุดซ่อมบำรุงโรงงานน้อยกว่าปีก่อน โดยจะหยุดซ่อมบำรุงโรงโอเลฟินส์ขนาดเล็กในช่วงไตรมาส 4/61 เท่านั้น ทำให้ประเมินอัตราการใช้กำลังผลิตสำหรับโรงโอเลฟินส์ 99% จาก 96% ปีที่แล้ว, อัตราการใช้กำลังการผลิตโรงอะโรเมติกส์ อยู่ที่ 91% จาก 80% ปีที่แล้ว ขณะที่โรงกลั่นน้ำมันเดินเครื่องผลิตเต็ม 100% เท่ากับปีที่แล้ว

ด้านราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีก็มีทิศทางที่ดีขึ้นตามราคาน้ำมัน โดยราคา HDPE ที่ในปีนี้ประเมินไว้ที่ 1,133 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากระดับ 1,168 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 1,350 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์พาราไซลีน (PX) ปีนี้ประเมินไว้ที่ 365 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากระดับ 388 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันสเปรด PX อยู่ที่ 400 เหรียญสหรัฐ/ตัน ด้านค่าการกลั่น (GRM) น่าจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย มาที่ 6.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 6.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีที่แล้ว จากต้นทุนน้ำมันดิบที่มีราคาสูงขึ้น

นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทยังจะได้รับประโยชน์เต็มที่จากโครงการ Asset Injection ซึ่งเป็นการซื้อหุ้น 6 บริษัทในธุรกิจปิโตรเคมีสายโพรพิลีน สายเคมีภัณฑ์ชีวภาพจากกลุ่มบมจ.ปตท. (PTT) ได้เต็มปี หลังได้โอนกิจการดังกล่าวแล้วเสร็จในช่วงเดือนก.ค.60 อีกทั้งโครงการ MAX ซึ่งเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กรนั้น คาดว่าจะสามารถสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษี (EBIT) ในปีนี้เพิ่มเป็นราว 6 พันล้านบาท จาก 3 พันล้านบาทในปีที่แล้ว

ด้านนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ PTTGC กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาตั้งโรงงานรีไซเคิลพลาสติก รองรับการจัดเก็บผลิตภัณฑ์พลาสติกให้นำกลับมาใช้ใหม่ มูลค่าโครงการ 1-1.5 พันล้านบาท ซึ่งรูปแบบการดำเนินงานจะมีความชัดเจนในไตรมาส 3/61

ขณะเดียวกันแผนงานในปีนี้ก็จะมุ่งเน้นการขยายงานในกลุ่มประเทศ CLMV ล่าสุดได้ตั้งสาขาที่เวียดนาม หลังจากที่การขายเม็ดพลาสติกในเวียดนามเติบโตอย่างมากจะระดับ 5 หมื่นตัน/ปีในช่วงก่อนปี 59 เพิ่มเป็น 1.2 แสนตันในปี 60 และมีเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 2.1 แสนตันในปีนี้ ขณะเดียวกันยังเดินหน้าขยายการลงทุนในเมียนมา ซึ่งเป็นการร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตร ได้แก่ การจัดตั้ง Service Company ให้บริการธุรกิจโพลิเมอร์ ,บริษัท เอสพี เพ็ทแพค อินเตอร์กรุ๊ป (เมียนมาร์) เพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกประเภทถัง เช่น ถังน้ำมันเครื่องต่าง ๆ เป็นต้น โดยได้เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา

ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในสหรัฐฯ นั้น ล่าสุดได้ลงนามร่างข้อตกลงเบื้องต้น (HOA) กับบริษัทในเครือของบริษัท Daelim Industrial Co.,Ltd. (DAELIM) จากเกาหลีใต้ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ เพื่อนำมาซึ่งการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในช่วงปลายปีนี้ โดยเบื้องต้นจะเป็นการร่วมทุนจากทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายละ 50%

นอกจากนี้ บริษัทยังได้วางเป้าหมายและทิศทางการดำเนินงานในปี 61 เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มที่ พร้อมวางแนวทางทุกอย่างให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อนำมาเชื่อมโยงกับการทำงานในปัจจุบัน รวมทั้งการปรับเปลี่ยนแนวคิดของทุกคนในองค์กรให้เป็นไปในแนวทางแบบดิจิทัล ทั่วทั้งองค์กร เพื่อทำให้การดำเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงสุด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ