แหล่งข่าวจากวงการตลาดทุน คาดว่า แนวโน้มการระดมทุนด้วยการออก Initial Initial Offering (ICO) จะมีความคึกคักมากขึ้นหลังจากที่คาดว่าทางการจะสรุปกฏเกณฑ์การกำกับดูแลการออก ICO เป็นครั้งแรกราววันที่ 8 มี.ค.นี้ ซึ่งทำให้กลุ่มผู้สนใจออก ICO และเปิด ICO Portal รวมถึงนักลงทุนมีความมั่นใจในการดำเนินการมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีกฏเกณฑ์ที่จะสามารถใช้เป็นหลักปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน ขณะที่ผู้สนใจจะออก ICO และมีนักลงทุนที่สนใจเป็นจำนวนมากในประเทศไทย
ในด้านของบริษัทหลักทรัพย์นั้น คาดว่ามีหลายรายสนใจขอยื่นจัดตั้ง ICO Portal เพื่อเป็นตัวกลางในการระดมทุนด้วย ICO ระหว่างผู้ออก ICO และผู้ลงทุน รวมถึงการซื้อขายเปลี่ยนมือ ICO ซึ่งเป็นการจับกระแสความนิยมของโลกปัจจุบันมีความสนใจในเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก โดยย ICO สามารถทำธุรกรรมการซื้อขายได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ICO ในมือของนักลงทุนในประเทศหรือต่างประเทศก็ตาม
นอกจากนั้น ยังมีผู้ประกอบธุรกิจเป็นจำนวนมากที่อยู่ะรหว่างการศึกษาแนวทางการออก ICO เพื่อระดมทุนนำมาใช้ในการลงทุนแทนการระดมทุนด้วยรูปแบบเดิม เนื่องจากสามารถลดต้นทุนในการออกลงได้ค่อนข้างมาก
"ถ้ากฏระเบียต่างๆของ ICO ออกมาแล้ว ผมก็มองว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจ ทุกคนมีโอกาสที่จะเป็น Portal ซึ่งการเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้มองว่าจะสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้ในระยะยาว ทำให้ใครๆก็อยากทำ...ต้องรอ 8 มี.ค.นี้ถ้าความชัดเจนของกฏระเบียบออกมาก็ทำให้สถานการณ์ ICO ในบ้านเราคลายลง เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครมาควบคุม ทำให้การลงทุนต้องระมัดระวังมาก เพราะหากเกิดความเสียหายขึ้นก็ไม่มีไครมารับผิดชอบ และ ICO นักลงทุนทั่วโลกสามารถซื้อขายได้ ไม่ได้มีการปิดกั้น และในส่วนของผู้ที่ออก ICO กึต้องมีกฏระเบียบที่ชัดเจนมาควบคุม ซึ่งจะต้องมีการระบุวัตถุประสงค์ของการระดมทุนที่ชัดเจน"นายประสิทธิ กล่าว
แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า แม้ว่าการออก ICO จะเป็นช่องทางหนึ่งในการระดมทุน และเป็นช่องทางในหารลงทุนของนักลงทุนอีกช่องทางหนึ่ง แต่มองในแง่ของการลงทุนใน ICO ของนักลงทุนไทย ก็ยังมองว่ามีความเสี่ยงสูง เพราะ ICO เป็นเรื่องการลงทุนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน ทำให้นักลงทุนที่สนใจลงทุนส่วนใหญ่ยังมีความรู้ไนการลงทุนไม่เพียงพอ และอาจจะยังไม่เข้าใจวิธีการลงทุนที่ถูกต้อง
ประเด็นดังกล่าวสอดคล้องกับทางหน่วยงานกำกับของไทยทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ใช้ระยะเวลาในการศึกษาเพื่อวางกฏระเบียบต่างๆและออกมาทำความเข้าใจกับนักลงทุนและผู้ที่ต้องการออก ICO และขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินในการควบคุมการซื้อขาย ICO เพราะหากกฏระเบียบออกมายังไม่มีการชี้ชัดหากเกิดกระทำผิดที่ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนในวงกว้าง และไม่สามารถหาผู้กระทำผิดมารับผิดชอบได้ ซึ่งนักลงทุนไทยจะต้องทำความเข้าใจการลงทุน ICO ให้เข้าใจอย่างแท้จริงก่อนที่จะเริ่มลงทุน
ส่วนด้านการลงทุน ICO นั้น เบื้องต้นมองว่าการลงทุน ICO จะต้องดูปัจจัยพื้นฐานที่จะส่งผลต่อมูลค่าของโทเคนนั้นๆ ซึ่งนักลงทุนจะต้องอ่านวัตถุประสงค์ของการออก ICO อย่างรอบคอบและใช้วิจารณญาณที่รอบคอบในการตัดสินใจลงทุน โดยการวิเคราะห์การลงทุน ICO จะคล้ายคลึงกับการลงทุนในหุ้นที่ดูปัจจัยพื้นฐานมาประกอบ วัตถุประสงค์ของการระดมทุนที่มีโอกาสทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในอนาคตและสร้างมูลค่าแก่โทเคนให้เพิ่มขึ้น ขณะที่การลงทุน ICO ตอนนี้ถือว่าใช้เงินไม่มากและเป็นช่องทางการลงทุนที่สามารถเข้าถึงนักลงทุนได้ง่ายมากขึ้น
สำหรับผู้ที่จะทำหน้าที่เป็น ICO Portal จะต้องมีการแข่งขันกันในเรื่องค่าธรรมเนียมการให้บริการ ICO ที่เข้ามาซื้อขายต้องมีสภาพคล่องสูงและมีความหลากหลาย รวมถึงต้องมีระบบต่างๆที่ตรวจสอบลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ เพราะป้องกันการ Hack ระบบเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศ ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้มีกฏระเบียบและหน่วยงานกำกับต่างๆเข้ามาดูแลเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
"ICO ที่ออกมาแล้วประสบความสำเร็จก็มีหลายตัวในต่างประเทศ มูลค่าสูงสุดที่ออกมา 500-700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนที่จะลงทุน ICO ก็ควรดูเรื่องปัจจัยพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งก็จะบอกรายละเอียดใน White paper การลงทุน ICO ก็เป็นหนึ่งใน Money games มีผู้ที่สำเร็จและไม่สำเร็จ ก็ต้องดูปัจจัยพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ และก็อย่าไปมองที่บริษัทแม่ว่าจะเป็นอย่างไร
อย่าง Jfin coin ที่โทเคนราคาขึ้น แต่บริษัทแม่ JMART ราคาหุ้นลดลง ซึ่งปัจจัยพื้นฐาน Jfin coin กับ JMART ไม่เหมือนกัน ทำให้มาเทียบกันไม่ได้ และสิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างคือ ICO ก็เหมือนกับการขายฝัน ก็ไปลุ้นกันในอนาคตว่าจะสิ่งที่ทำจะประสบความสำเร็จไหม ซึ่ง ICO ที่มีคนออกมามูลค่าเพิ่มขึ้นจากความคาดหวังว่าสิ่งที่ลงทุนไปมันจะดีในอนาคต ไม่เหมือนกับ ICO ที่ขุดที่ดีมานด์มากกว่าซัพพลายด์ ทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้น"นายประสิทธิ กล่าว