PTTEP ปรับคาดการณ์ปริมาณขายปี 60 มาที่ 3 แสนบาร์เรล/วัน,กำไร Q2/60 พุ่งหลังค่าเสื่อม-ขาดทุนอนุพันธ์ฯลด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 27, 2017 14:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปรับลดประมาณการปริมาณการขายปิโตรเลียมปี 60 เหลือระดับ 300,000 บาร์เรล/วัน จากระดับคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 300,000-310,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากความไม่แน่นอนของปริมาณการเรียกก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย โดยคาดว่าปริมาณขายในไตรมาส 3/60 จะอยู่ที่ 290,00 บาร์เรล/วัน สูงขึ้นจากไตรมาส 2/60 ที่ทำได้ต่ำกว่าคาดการณ์จากการเรียกก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ต่ำกว่าประเมิน และการหยุดผลิตชั่วคราวของโครงการ S1

อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 บริษัทมีกำไรสุทธิ 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 7,536 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้นและค่าตัดจำหน่ายลดลง รวมถึงขาดทุนอนุพันธ์ทางการเงินจากการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันลดลง

PTTEP คาดว่าปริมาณการขายเฉลี่ยทั้งปี 60 จะอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากยังคงมีความไม่แน่นอนของปริมาณการเรียกก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในตลาดโลกที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีแนวทางลดผลกระทบดังกล่าวด้วยการปรับแผนการผลิตจากหลุมที่มีปริมาณคอนเดนเสทเพื่อชดเชยรายได้ในส่วนของก๊าซธรรมชาติที่อาจจะลดลง

พร้อมกันนี้ พยายามมุ่งเน้นรักษาระดับการผลิตของโครงการในประเทศไทย โดยคาดว่าปริมาณการขายสำหรับไตรมาส 3/60 จะอยู่ที่ประมาณ 290,000 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนที่ลดลง รวมถึงการเพิ่มการผลิตของโครงการ MTJDA จากการที่ผู้ซื้อในประเทศมาเลเซียสามารถกลับมารับก๊าซธรรมชาติได้ตามปกติ

ด้านราคาขายน้ำมันดิบของบริษัทจะผันแปรตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยบริษัทมองว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในครึ่งปีหลังจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 45-50 ดอลลาร์ สรอ. /บาร์เรล เนื่องจากอุปทานที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น โดยหลักจากการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้น และทรงตัวอยู่ในระดับสูง

แต่ในส่วนของราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลัก มีโครงสร้างราคาส่วนหนึ่งผูกกับราคาน้ำมันย้อนหลังประมาณ 6-12 เดือน บริษัทคาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยในไตรมาส 3/60 และทั้งปี 60 จะอยู่ที่ประมาณ 5.6 ดอลลาร์สหรัฐ/ล้านบีทียู และประมาณ 5.5 ดอลลาร์สหรัฐ/ล้านบีทียู ตามลำดับ เป็นผลจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยทั้งปีที่ 49 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ส่วนการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน ณ สิ้นไตรมาส 2/60 มีปริมาณน้ำมันภายใต้สัญญาประกันความเสี่ยงที่ยังไม่ครบกำหนดอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้ บริษัทมีความยืดหยุ่นในการปรับแผนการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันตามความเหมาะสม

ด้านต้นทุน คาดว่าต้นทุนต่อหน่วยในไตรมาส 3/60 และทั้งปี 60 จะอยู่ที่ประมาณ 30 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และ 29 ดอลลาร์าสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์เดิม ขณะที่ยังคงประมาณการอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ระดับประมาณ 70% ของรายได้จากการขาย

ทั้งนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทางการเงิน โดยมุ่งเน้นการสร้างวินัยทางการเงินและรักษาโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ต่ำกว่า 0.3 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2/60 และมีเงินสดในมือประมาณ 4,206 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สามารถรองรับแผนการลงทุนเพื่อรักษาระดับการผลิตตามแผนงาน รวมถึงรองรับค่าใช้จ่ายเพื่อเร่งพัฒนาโครงการต่าง ๆ การขุดเจาะสำรวจตามแผนการลงทุน และการเข้าซื้อกิจการที่สอดคล้องกับแผนธุรกิจของบริษัท

ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาการยื่นซื้อสินทรัพย์ในหลาย ๆ โครงการ โดยเน้นให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่ผลิตแล้วหรือกำลังจะเริ่มผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีความเสี่ยงในการดำเนินโครงการที่ค่อนข้างต่ำ มีตลาดรองรับในการขายปิโตรเลียม และมีผลตอบแทนที่น่าสนใจ

ส่วนการเข้าประมูลต่ออายุแหล่งสัมปทานที่กำลังจะหมดอายุ ได้แก่ แหล่งบงกชและเอราวัณ ซึ่งหากบริษัทชนะการประมูล จะสามารถบันทึกปริมาณสำรองเพิ่มขึ้นหลังจากทำการสำรวจและพัฒนาเพิ่มเติม ทั้งนี้ บริษัทมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมการประมูลตามกรอบระยะเวลาของกระทรวงพลังงานซึ่งคาดว่าจะทราบผลการประมูลภายในไตรมาส 1/61

สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนา ได้แก่ โครงการโมซัมบิก โรวูมา ออฟชอร์ แอเรีย วัน ,โครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ และแหล่งอุบล ในโครงการคอนแทร็ค 4 ก็จะสามารถเพิ่มปริมาณสำรองได้ภายหลังจากการตัดสินใจขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision)

PTTEP ยังระบุถึงผลประกอบการไตรมาส 2/60 มีกำไรสุทธิ 220 ล้านดอลลาร์ สรอ. เทียบเท่า 7,536 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.04 ดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 1.67 บาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/59 ที่มีกำไรสุทธิ 75 ล้านดอลลาร์ สรอ. เทียบเท่า 2,661 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.01 ดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 0.44 บาท

ทั้งนี้ ไตรมาส 2/60 บริษัทมีรายได้รวม 1,032 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 35,417 ล้านบาท ลดลง 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/59 ที่มีรายได้รวม 1,102 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 38,891 ล้านบาท

โดยราคาขายเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ 38.08 ดอลลาร์สหรัฐ /บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/59 ที่ 36.62 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ขณะที่ปริมาณการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 281,435 บาร์เรล/วัน ลดลงจาก 320,657 บาร์เรล/วันในไตรมาสที่ 2/59 โดยหลักจากการปิดซ่อมบำรุงของโครงการบงกชและโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ซึ่งที่มีจำนวนวันในการปิดซ่อมบำรุงสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับค่าใช้จ่ายในไตรมาส 2/60 รวมทั้งสิ้น 748 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 25,659 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับ 975 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 34,397 ล้านบาทในไตรมาส 2/59 ส่วนใหญ่ลดลงจากค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้นและค่าตัดจำหน่าย ในขณะที่บริษัทยังคงดำเนินนโยบายลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

ผลกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ สาเหตุหลักมาจากค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้นและค่าตัดจำหน่ายลดลงจานวน 136 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหลักจากการปรับปริมาณสำรองปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น , ขาดทุนจากอนุพันธ์ทางการเงิน โดยหลักจากการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันลดลง จำนวน 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่รายได้ค่าขายลดลง จำนวน 86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหลักมาจากปริมาณขายเฉลี่ยที่ลดลง

กำไรจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติสำหรับไตรมาส 2/60 จำนวน 53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีผลการดำเนินงานดีขึ้น 132 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/59 ที่มีขาดทุนจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติจำนวน 79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สาเหตุหลักมาจากขาดทุนจากอนุพันธ์ทางการเงิน โดยหลักจากการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันลดลง จำนวน 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จากผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ บริษัทยังคงมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย.60 มีสินทรัพย์รวม 18,872 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 641,314 ล้านบาท โดยมีส่วนที่เป็นเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นรวม 4,206 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 142,913 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 7,213 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 245,096 ล้านบาท โดยเป็นส่วนของหนี้สินที่มีดอกเบี้ยจำนวน 2,874 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 97,665 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 11,659 ล้านดอลลาร์าสหรัฐ เทียบเท่า 396,218 ล้านบาท

ณ สิ้นไตรมาส 2/60 บริษัทมีโครงการและดำเนินกิจกรรมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศรวมทั้งสิ้นจำนวน 37 โครงการใน 10 ประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ