ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 70.48 จุด หลังสหรัฐ,อียูคว่ำบาตรรัสเซีย

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 30, 2014 06:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (29 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อข่าวที่ว่า สหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐ ประกาศเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย อันเนื่องมาจากสถานการณ์รุนแรงในยูเครนที่ยังไม่คลี่คลายลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานดัชนีราคาบ้านที่ปรับตัวลดลงในของสหรัฐ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,912.11 จุด ลดลง 70.48 จุด หรือ -0.42% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,442.70 จุด ลดลง 2.21 จุด หรือ -0.05% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 1,969.95 จุด ลดลง 8.96 จุด หรือ -0.45%

ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดตลาดดีดตัวขึ้นขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทเมอร์ก แอนด์ โค และไฟเซอร์ ซึ่งเป็น 2 บริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนก.ค.

ทั้งนี้ คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 90.9 จากเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 86.4 โดยดัชนีเดือนก.ค.ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2550 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

อย่างไรก็ตาม ตลาดอ่อนแรงลงในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อข่าวที่ว่า อียูและสหรัฐได้ประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อรัสเซีย อันเนื่องมาจากความขัดแย้งที่ยังไม่คลี่คลายลงในยูเครน รวมถึงกรณีที่รัสเซียยังคงให้ความช่วยเหลือกลุ่มกบฏในพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครน

การใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่นี้ อียูได้ควบคุมไม่ให้รัสเซียสามารถเข้าถึงการระดมทุนจากธนาคารและเทคโนโลยีอันทันสมัย ซึ่งรวมถึงการห้ามไม่ให้ธนาคารของรัฐบาลรัสเซียทำการขายหุ้นหรือพันธบัตรในยุโรป ขณะที่สหรัฐพุ่งเป้าไปที่ธนาคารของรัฐบาลรัสเซีย 3 แห่งของรัสเซีย รวมทั้งอุตสาหกรรมพลังงานและการผลิตอาวุธ

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ที่ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.3% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งขยายตัวช้าลงเมื่อเทียบกับเดือนเม.ย.ที่ 10.8% และขยายตัวได้น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 10%

หุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (ยูพีเอส) ซึ่งเป็นบริษัทบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ระดับโลก ร่วงลง 3.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 1.55 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งน้อยกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

หุ้นเมอร์ก แอนด์ โค ดีดตัวขึ้น 1.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 85 เซนต์ต่อหุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4 เซนต์ต่อหุ้น

หุ้นวินด์สตรีม โฮลดิ้งส์ อิงค์ พุ่งขึ้น 12% หลังจากบริษัทเผยว่าจะกระจายสินทรัพย์บางส่วนเข้าสู่กองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์

นักลงทุนกำลังจับตาดูผลการประชุมระยะเวลา 2 วันของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันพุธที่ 30 ก.ค. โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรลงอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ โดยนักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ คาดว่าจีดีพีสหรัฐจะขยายตัวแข็งแกร่งถึง 3.5% ส่วนในวันศุกร์ สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนก.ค. ซึ่งคาดว่าตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 250,000 ราย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ