ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 65.19 จุด ขานรับ ECB มีมติขยาย QE

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 9, 2016 06:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่มีมติขยายระยะเวลาในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ออกไปอีก 9 เดือน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,614.81 จุด เพิ่มขึ้น 65.19 จุด หรือ +0.33% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,417.36 จุด เพิ่มขึ้น 23.60 จุด หรือ +0.44% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,246.19 จุด เพิ่มขึ้น 4.84 จุด หรือ +0.22%

ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกติดต่อกัน 4 วันทำการ โดยปัจจัยล่าสุดที่หนุนตลาดทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อคืนนี้ มาจากผลการประชุมล่าสุดของ ECB ซึ่งระบุว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ECB มีมติขยายระยะเวลาในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ออกไปอีก 9 เดือน โดยให้สิ้นสุดในเดือนธ.ค.2017 จากเดิมที่จะครบกำหนดในเดือนมี.ค.2017

ขณะเดียวกัน ECB ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.4% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%

นายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB กล่าวภายหลังการประชุมว่า การตัดสินใจขยายระยะเวลาในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE จะช่วยหนุนเศรษฐกิจยูโรโซนได้อย่างมาก พร้อมระบุว่า การขยายระยะเวลาของมาตรการ QE ออกไปอีก 9 เดือน แทนที่จะเป็น 6 เดือนตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้นั้น บ่งชี้ถึงตลาดที่จะมีเสถียรภาพมากขึ้น และจะทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ ECB มีความยั่งยืนมากขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานที่ว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 10,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 258,000 ราย สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น นำโดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา เพิ่มขึ้น 1.7% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ปรับตัวขึ้นกว่า 1%

หุ้นคอสท์โค โฮลเซล ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 2.43% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มผู้ผลิตยายังคงร่วงลง นำโดยหุ้นซีวีเอส เฮลธ์ ที่ดิ่งลงหนักสุดถึง 3% หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะกดราคายาให้ถูกลง และจะเปิดกว้างต่อการนำเข้ายาราคาถูกจากต่างประเทศ

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนต.ค.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ ขณะที่ผลสำรวจของ CME Group FedWatch ระบุว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 93% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในปีนี้ และครั้งที่ 2 ในรอบเกือบ 10 ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ