ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวขึ้น บ่งชี้วอลล์สตรีทดีดตัวทำนิวไฮต่อเนื่องคืนนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 9, 2016 21:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับตัวขึ้นในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะยังคงดีดตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในคืนนี้ ต่อเนื่องจากที่ได้ทะยานขึ้นหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

นอกจากนี้ นักลงทุนยังได้ขานรับผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) เมื่อคืนนี้

ณ เวลา 21.00 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าบวก 29 จุด หรือ 0.15% สู่ระดับ 19,593 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ได้ปรับตัวในแดนบวกเป็นเวลา 18 วันจาก 22 วันนับตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และสามารถปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นจำนวน 12 วัน

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ECB มีมติขยายระยะเวลาในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ออกไปอีก 9 เดือน โดยให้สิ้นสุดในเดือนธ.ค.2017 จากเดิมที่จะครบกำหนดในเดือนมี.ค.2017

อย่างไรก็ดี ECB ระบุว่าจะลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรในช่วงเดือนเม.ย.2017-ธ.ค.2017 สู่ระดับ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน จากปัจจุบันที่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือน

ECB ระบุว่า ทางธนาคารกลางจะพิจารณาปรับวงเงิน และระยะเวลาในการดำเนินมาตรการ QE หากมีความจำเป็น

ขณะเดียวกัน ECB ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ECB ยังได้คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.4% ซึ่งหมายความว่าธนาคารพาณิชย์จะต้องจ่ายค่าฝากแก่ ECB หากมีการนำเงินส่วนเกินมาพักไว้ที่ ECB ซึ่งมาตรการดังกล่าวของ ECB มีขึ้นเพื่อสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์นำเงินไปปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจ แทนที่จะนำมาพักไว้ที่ ECB

นอกจากนี้ ECB ยังได้คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%

นายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB กล่าวภายหลังการประชุมว่า การตัดสินใจขยายระยะเวลาในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE จะช่วยหนุนเศรษฐกิจยูโรโซนได้อย่างมาก พร้อมระบุว่า การขยายระยะเวลาของมาตรการ QE ออกไปอีก 9 เดือน แทนที่จะเป็น 6 เดือนตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้นั้น บ่งชี้ถึงตลาดที่จะมีเสถียรภาพมากขึ้น และจะทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ ECB มีความยั่งยืนมากขึ้น

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ ขณะที่ CME Group FedWatch ระบุว่า การซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐบ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสมากกว่า 90% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในปีนี้ และครั้งที่ 2 ในรอบเกือบ 10 ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ