ดาวโจนส์ร่วง นักลงทุนกังวลนโยบาย"ทรัมป์" หลังเตือนดอลล์แข็ง,ยกเลิก"โอบามาแคร์"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 13, 2017 21:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดแดนลบในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนกังวลต่อนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังกล่าวเตือนถึงการแข็งค่าของดอลลาร์

นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี และซีเรีย ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ฉุดตลาดลง

ณ เวลา 20.50 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 20,566.43 จุด ลดลง 25.43 จุด หรือ 0.12%

หุ้นกลุ่มการเงินดิ่งลงนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นโกลด์แมน แซคส์ร่วงลงมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า ปธน.ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า ดอลลาร์กำลังแข็งค่ามากเกินไปในขณะนี้

นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังระบุว่า เขาชอบนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ

คำกล่าวของปธน.ทรัมป์ถือเป็นการสวนทางกับทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

ดอลลาร์ปรับตัวผันผวนในวันนี้จากคำกล่าวของปธน.ทรัมป์ โดยล่าสุด ดอลลาร์ฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนเมื่อเทียบกับเยน

นอกจากนี้ นักลงทุนไม่มั่นใจเกี่ยวกับการจัดอันดับความสำคัญของนโยบายรัฐบาลทรัมป์ หลังปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาต้องการที่จะยกเลิก และทดแทนนโยบายโอบามาแคร์ ก่อนที่จะดำเนินการปฏิรูปภาษี

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในวันนี้

ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไร และรายได้ในไตรมาส 1 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นจากปีที่แล้ว รวมทั้งผลประกอบการจากธุรกิจวาณิชธนกิจ

ทั้งนี้ เจพีมอร์แกน เชส ระบุว่า ธนาคารมีรายได้ 2.56 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 6.45 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.65 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 1

ทางด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 2.49 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.52 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 1

ซิตี้กรุ๊ป เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไร และรายได้ในไตรมาส 1 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยได้แรงหนุนจากรายได้จากการซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในแผนกวาณิชธนกิจ และจากการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้ ซิตี้กรุ๊ประบุว่า ธนาคารมีรายได้ 1.812 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 4.1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.35 ดอลลาร์/หุ้น

นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 1.776 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.24 ดอลลาร์/หุ้น

ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไร และรายได้ลดลงในไตรมาส 1 โดยได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และค่าธรรมเนียมเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยที่ลดลง

ทั้งนี้ เวลส์ ฟาร์โก ระบุว่า ธนาคารมีรายได้ 2.20 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 5.06 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.00 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 1

นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 2.23 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 0.96 ดอลลาร์/หุ้น

ปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับเวลส์ ฟาร์โก ขณะที่ทางธนาคารถูกสอบสวนในคดีอาญา และถูกปรับเป็นเงิน 185 ล้านดอลลาร์ กรณีที่พนักงานสร้างบัญชีลูกค้าปลอมจำนวนกว่า 2 ล้านบัญชีเพื่อเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ด้านการเงินของธนาคาร

เหตุการณ์อื้อฉาวดังกล่าวส่งผลให้เวลส์ ฟาร์โก ตัดสินใจปลดพนักงาน 5,300 คนที่เกี่ยวข้องกับการขายผลิตภัณฑ์ด้านหลักทรัพย์พ่วงผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัย หรือที่เรียกว่า ครอสเซลลิ่ง (Cross Selling) ซึ่งหลังจากนั้นนายจอห์น สตัมฟ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ก็ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง

สำหรับการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 1,000 ราย ในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 234,000 ราย โดยเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 3 สัปดาห์ และอยู่ใกล้ระดับ 227,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 44 ปีที่ทำไว้ในเดือนก.พ.

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 0.1% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปีที่แล้ว หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ.

การร่วงลงของดัชนี PPI ได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของราคาพลังงาน และค่าใช้จ่ายในภาคบริการ

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 2.3% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการทะยานขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2012 หลังจากเพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนก.พ.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี PPI ทรงตัวในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน และพุ่งขึ้น 2.4% เมื่อเทียบรายปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ