ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 43.08 จุด ขานรับงบประมาณรัฐบาล"ทรัมป์"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 24, 2017 06:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 พ.ค.) หลังจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ยื่นเสนองบประมาณประจำปี 2018 วงเงิน 4.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ โดยคาดว่างบประมาณดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัว 3% ต่อปี อย่างไรก็ตาม แรงบวกในตลาดได้ถูกสกัดในระหว่างวัน เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวนของสหรัฐ และจากการที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ค.ในวันนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,937.91 จุด เพิ่มขึ้น 43.08 จุด หรือ +0.21% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,398.42 จุด เพิ่มขึ้น 4.40 จุด หรือ +0.18% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,138.71 จุด เพิ่มขึ้น 5.09 จุด หรือ +0.08%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 โดยปัจจัยล่าสุดมาจากรายงานที่ว่า รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของปธน.ทรัมป์ได้ยื่นเสนองบประมาณประจำปี 2018 วงเงิน 4.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ โดยคาดว่างบประมาณดังกล่าวจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัว 3% ต่อปี จากการใช้จ่ายของรัฐบาล และการปรับลดภาษี

ทั้งนี้ งบประมาณดังกล่าวซึ่งจะเริ่มต้นมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค.ปีนี้ จะมีการตัดงบราว 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ออกจากโครงการสวัสดิการต่างๆ ในช่วง 10 ปีข้างหน้า หรือราว 8% ซึ่งรวมถึงการยกเลิก และทดแทนกฎหมายประกันสุขภาพโอบามาแคร์, การยกเลิกการชดเชยเงินกู้เพื่อการศึกษา, การตัดงบสำหรับแสตมป์อาหาร และสวัสดิการบำนาญสำหรับข้าราชการ

สำหรับในด้านการจัดเก็บภาษีนั้น จะมีการปรับลดขั้นบันไดในการคิดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากปัจจุบัน 7 ขั้น เหลือเพียง 3 ขั้น โดยผู้มีรายได้ในขั้นสูงสุดจะเสียภาษีในอัตรา 35% ส่วนอีก 2 ขั้น เสียภาษีในอัตรา 25% และ 10% โดยจะมีการถกรายละเอียดอื่นๆในการอภิปรายในสภาคองเกรส

หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวขึ้น 0.1% ขณะที่หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค พุ่งขึ้น 1.2%

ส่วนหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ปรับตัวขึ้น 1.3% ขณะที่หุ้นโนเกีย พุ่งขึ้น 5.3% หลังจากโนเกียสามารถยุติคดีความทางกฎหมายกับบริษัทแอปเปิล อิงค์

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน จากข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวนของสหรัฐ โดยผลการสำรวจของไอเอชเอส มาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เบื้องต้นรวมภาคการผลิตและบริการของสหรัฐ พุ่งขึ้นแตะระดับ 53.9 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนเม.ย.ร่วงลง 11.4% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 569,000 ยูนิต ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยับลงเพียง 1.5% สู่ระดับ 610,000 ยูนิต ขณะที่เฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยว่า ดัชนีภาวะธุรกิจภาคบริการในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก ร่วงลงสู่ระดับ 25.8 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2016

หุ้นกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านและหุ้นบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์ภายในบ้าน ร่วงลง หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่ร่วงลงอย่างหนักในเดือนเม.ย. โดยหุ้นเอ็นวีอาร์ ดิ่งลง 2.6% หุ้นดีอาร์ ฮอร์ตัน ร่วงลง 1.6% หุ้นโลว์ส ร่วงลง 2 % และหุ้นโฮม ดีโปท์ ดิ่งลงกว่า 2%

นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่เฟดจะเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ค.ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดอาจจะส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า

นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนมี.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ค.โดยมาร์กิต, ดุลการค้าเดือนเม.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเม.ย., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไตรมาส 1 (ประมาณการครั้งที่ 2), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนพ.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ