ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 85.54 จุด รับผลประกอบการแข็งแกร่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 28, 2017 06:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) และเวอไรซอน คอมมิวนิเคชั่น ซึ่งช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดทำนิวไฮเป็นวันที่สอง อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมทั้งหุ้นกลุ่มธุรกิจขนส่ง และกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,796.55 จุด เพิ่มขึ้น 85.54 จุด หรือ +0.39% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,382.19 จุด ลดลง 40.56 จุด หรือ -0.63% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,475.42 จุด ลดลง 2.41 จุด หรือ -0.10%

ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดปรับตัวขึ้น ขานรับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ โดย P&G ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าเพื่อผู้บริโภครายใหญ่ระดับโลก เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 85 เซนต์/หุ้น ในเดือนเม.ย.-มิ.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 4 ตามปีงบการเงินของบริษัท ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 78 เซนต์/หุ้น ส่วนยอดขายอยู่ที่ระดับ 1.608 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 1.602 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวช่วยหนุนหุ้น P&G ปิดตลาดพุ่งขึ้น 1.6%

ขณะที่บริษัทเวอไรซอน คอมมิวนิเคชั่น เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรต่อหุ้นที่ระดับ 96 เซนต์ ในไตรมาส 2 ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ส่วนรายได้อยู่ที่ 3.055 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.991 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยข้อมูลดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นเวอไรซอนปิดตลาดพุ่งขึ้น 7.7%

หุ้น PayPal พุ่งขึ้น 2.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และยังได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้

หุ้นโบอิ้งปรับตัวขึ้นราว 1% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้น 2.55 ดอลลาร์ ในไตรมาส 2 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.30 ดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงในช่วงท้ายตลาด หลังจากที่ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงแรก ซึ่งส่งผลให้ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดในแดนลบ ขณะที่หุ้นกลุ่มธุรกิจขนส่ง และกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพ ร่วงลงเช่นกัน และเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ทีซีดับเบิลยู แจฟฟี กล่าวว่า หลังจากที่เฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีกลุ่ม FANG (เฟซบุ๊ก-แอปเปิล-อเมซอน-เน็ทฟลิกซ์-อัลฟาเบท) รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง นักลงทุนก็เริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับมูลค่าของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และเริ่มกลับมาปรับโพสิชั่นในหุ้นกลุ่มดังกล่าว โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น หุ้นบริษัทเทคโนโลยีในกลุ่ม FANG มีอิทธิพลอย่างมากต่อความเคลื่อนไหวในตลาด

ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 1.9% หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 2.92% โดยในช่วงแรกนั้น ราคาหุ้นเฟซบุ๊กพุ่งขึ้น หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 1.32 ดอลลาร์/หุ้น พุ่งขึ้น 69% เทียบรายปี ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 1.13 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 9.32 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 45% และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 9.2 พันล้านดอลลาร์

ส่วนหุ้นในกลุ่มธุรกิจขนส่งนั้น หุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ร่วงลง 4% และหุ้นเฟ็ดเอ็กซ์ ดิ่งลงกว่า 2%

หุ้นทวิตเตอร์ ร่วงลง 14% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดใช้บริการ 328 ล้านรายต่อเดือน ในไตรมาส 2 ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 329 ล้านราย

หุ้นกลุ่มธุรกิจประกันสุขภาพร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นแอสทราเซเนกา ดิ่งลง 14.9% ขณะที่หุ้นบริสทอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ ร่วงลง 3.1%

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 10,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 244,000 ราย ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 6.5% ในเดือนมิ.ย. โดยสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 3.8%

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญด้านอื่นๆของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ