ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
ทั้งนี้ เน็ตฟลิกซ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มความบันเทิงบนอินเทอร์เน็ต ปรับตัวขึ้น 0.6% ก่อนที่จะเปิดเผยผลประกอบการ หลังปิดตลาดวันนี้
ณ เวลา 20.53 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 22,940.20 จุด เพิ่มขึ้น 68.48 จุด หรือ 0.30%
ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้น 17% เมื่อเทียบจากต้นปีนี้
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นโบอิ้งปรับตัวขึ้นมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในดัชนี S&P 500 มีการขยายตัว 6.1%, 15.5% และ 10.8% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว รวมทั้งไตรมาส 1 และ 2 ของปีนี้ตามลำดับ ขณะที่ผลประกอบการในไตรมาส 3 คาดว่าจะมีการขยายตัว 4%
นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนราว 87% ที่มีการเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 3 แล้ว สามารถมีกำไรมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก รายงานในวันนี้ว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) พุ่งขึ้นในเดือนต.ค. โดยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 30.2 จากระดับ 24.2 ในเดือนก.ย.
ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก
นายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟด สาขาบอสตัน กล่าวว่า เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค. และ 3-4 ครั้งในปีหน้า ถ้าหากว่าอัตราการว่างงานของสหรัฐยังคงปรับตัวลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อดีดตัวขึ้น
นายโรเซนเกรนกล่าวว่า ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อแตะระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% ขณะที่อัตราการว่างงาน ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 4.2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปี ก็จะเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังอยู่ในภาวะที่ร้อนแรงเกินไป
นายโรเซนเกรนระบุว่า การที่จะทำให้เงินเฟ้อมีเสถียรภาพที่ระดับ 2% นั้น เฟดจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงกว่าระดับที่คาดไว้ในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
ทางด้านนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด กล่าวสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับเป้าหมายของเฟดก็ตาม โดยนางเยลเลนระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงฟื้นตัวอย่างมั่นคง ขณะที่ตลาดแรงงานอยู่ในภาวะที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐสามารถรับมือกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดได้