ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 17.49 จุด รับแรงซื้อหุ้นสินค้าผู้บริโภค

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 14, 2017 06:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 พ.ย.) จากแรงซื้อที่ส่งเข้าหนุนหุ้นกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภค ซึ่งรวมถึงหุ้นแมทเทล และหุ้นไทสัน ฟู้ดส์ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับความล่าช้าในการบังคับใช้กฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐ และจากข่าวที่ว่าบริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) ประกาศปรับลดการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสลง 50%

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,439.70 จุด เพิ่มขึ้น 17.49 จุด หรือ +0.07% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,584.84 จุด เพิ่มขึ้น 2.54 จุด หรือ +0.10% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,757.60 จุด เพิ่มขึ้น 6.66 จุด หรือ +0.10%

หุ้นกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภคพุ่งขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวก โดยหุ้นแมทเทล ผู้ผลิตของเล่นรายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 20.7% หลังจากมีรายงานว่า บริษัทแฮสโบร ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งและเจ้าของลิขสิทธิ์การ์ตูนยอดฮิต "My Little Pony" ให้ความสนใจที่จะเข้าซื้อกิจการของแมทเทล ขณะที่ข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นแฮสโบร พุ่งขึ้น 5.9%

หุ้นไทสัน ฟู้ดส์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเนื้อรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ปรับตัวขึ้น 2% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีงบการเงินของบริษัทที่สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. พุ่งขึ้น 10.8% สู่ระดับ 1.015 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 9.89 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.43 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 1.38 ดอลลาร์

หุ้นควอลคอม อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพสำหรับสมาร์ทโฟน ดีดตัวขึ้น 3% หลังจากควอลคอมปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการจากบริษัทบรอดคอม ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพในธุรกิจสื่อสาร โดยมองว่ามีมูลค่าต่ำเกินไป และมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานควบคุมการผูกขาดตลาด

ทางด้านบริษัทบรอดคอมได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า บริษัทยังคงมีความมุ่งมั่นในการซื้อกิจการของบริษัทควอลคอม อิงค์ แม้ว่าควอลคอมได้ปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการจากบรอดคอมก็ตาม

หุ้นโบอิ้ง ดีดตัวขึ้น 0.6% ขานรับรายงานที่ว่า โบอิ้งได้รับคำสังซื้อเครื่องบินจากสายการบินอาหรับ เอมิเรตส์ มูลค่า 1.5 พันล้านดอลาร์

อย่างไรก็ตาม หุ้น GE ร่วงลง 7.2% ซึ่งเป็นปัจจัยสกัดแรงบวกในตลาด หลังจากบริษัท GE ได้ประกาศปรับลดการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสลง 50% สู่ระดับ 12 เซนต์/หุ้น จากเดิมที่ 24 เซนต์/หุ้น โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนธ.ค. ขณะที่นายจอห์น แฟลนเนอรี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ GE กล่าวว่า การตัดสินใจดังกล่าวเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่มีความจำเป็น ในการบริหารกระแสเงินสดของบริษัท

นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่า การบังคับกฎหมายปฏิรูปภาษีของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเป็นไปอย่างล่าช้า หลังจากสมาชิกพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาเสนอให้มีการชะลอการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 35% สู่ระดับ 20% ออกไปอีก 1 ปี จนถึงปี 2562 นอกจากนี้ ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับของวุฒิสภายังมีเนื้อหาแตกต่างจากฉบับของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอาจทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยสภาผู้แทนราษฎรมีกำหนดลงมติต่อร่างกฎหมายดังกล่าวในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ การชะลอการบังคับใช้มาตรการปรับลดอัตราภาษีดังกล่าว ถือเป็นการสวนทางความตั้งใจของปธน.ทรัมป์ ที่ต้องการให้การปรับลดอัตราภาษีมีผลบังคับใช้โดยทันทีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ ยังอาจจะส่งผลให้บริษัทของสหรัฐที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศเลื่อนการตัดสินใจย้ายฐานกลับสู่สหรัฐ เนื่องจากต้องการรอให้การปรับลดอัตราภาษีมีผลบังคับใช้

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนพ.ย.จากเฟดนิวยอร์ก, ยอดค้าปลีกเดือนต.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ย., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาก่อสร้างเดือนต.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ