ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 171.58 จุด หลังหุ้นการเงิน-เทคโนฯดิ่ง,วิตกข่าวทรัมป์ปลดรมว.ต่างประเทศ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 14, 2018 06:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (13 มี.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มเทคโนโลยี รวมทั้งรายงานข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศปลดนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ หลังจากเกิดความขัดแย้งด้านนโยบายต่างประเทศหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐและจีน หลังจากสื่อรายงานว่า ปธน.ทรัมป์มีแผนที่จะออกมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน โดยพุ่งเป้าไปที่สินค้าในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสาร

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,007.03 จุด ร่วงลง 171.58 จุด หรือ -0.68% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,765.31 จุด ลดลง 17.71 จุด หรือ -0.64% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,511.01 จุด ลดลง 77.31 จุด หรือ -1.02%

ในช่วงแรกนั้น ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้น หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ขยับขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และชะลอตัวจากระดับ 0.5% ในเดือนม.ค. โดยข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และลดแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้

แต่จากนั้นไม่นาน ดาวโจนส์ก็ร่วงลงสู่แดนลบ หลังจากมีรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศปลดนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ หลังเกิดความขัดแย้งด้านนโยบายต่างประเทศหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา โดยปธน.ทรัมป์ได้โยกนายไมค์ ปอมเปโอ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศแทนนายทิลเลอร์สัน และให้นางจีน่า แฮสเปล รองผอ.CIA ขึ้นเป็นผอ.CIA คนใหม่

ทั้งนี้ ข่าวการปลดนายทิลเลอร์สันส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายต่างประเทศสหรัฐ โดยเฉพาะในด้านนโยบายเกี่ยวกับเกาหลีเหนือและอิหร่าน

นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันหลังจากเว็บไซต์ของโพลิติโครายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ปธน.ทรัมป์มีแผนที่จะออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นวงเงินสูงถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะพุ่งเป้าไปที่สินค้าด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร โดยคาดว่าปธน.ทรัมป์จะเปิดเผยแผนการดังกล่าวในสัปดาห์หน้า

หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 1.2% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ดิ่งลง 1.7% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 1.4% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ลดลง 1.4% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ปรับตัวลง 0.8%

ส่วนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 2.4% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดิ่งลง 2.2% หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 1.5% หุ้นอเมซอนดอทคอม ปรับตัวลง 0.6% และหุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 1.7%

หุ้นควอลคอมม์ ร่วงลง 5% หลังจากปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดี เพื่อสกัดข้อเสนอที่บริษัทบรอดคอม ซึ่งเป็นบริษัทเซมิคอนดัคเตอร์รายใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสิงคโปร์ ได้เสนอซื้อกิจการของควอลคอมม์ อิงค์ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายชิพโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ระดับโลก โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มค้าปลีกดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นเมซี อิงค์ พุ่งขึ้น 3.7% และหุ้นโคห์ล คอร์ป ปรับตัวขึ้น 2.7%

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 20-21 มี.ค. ขณะที่ CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 86% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในปีนี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในเดือนมิ.ย. และครั้งที่ 3 ในเดือนก.ย.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเงินเฟ้อและข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.พ., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนม.ค., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนมี.ค.จากเฟดนิวยอร์ก, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนก.พ., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนมี.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.พ., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ