ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 248.91 จุด เหตุวิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 15, 2018 06:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (14 มี.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ, โทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังกดดันให้จีนปรับลดยอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐลง 1 แสนล้านดอลลาร์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,758.12 จุด ร่วงลง 248.91 จุด หรือ -1.00% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,749.48 จุด ลดลง 15.83 จุด หรือ -0.57% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,496.81 จุด ลดลง 14.20 จุด หรือ -0.19%

ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากสื่อรายงานว่า ปธน.ทรัมป์มีแผนที่จะออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ, โทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้การทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งอาจมีการจำกัดการออกวีซ่าต่อชาวจีนที่ต้องการเดินทางเข้าสู่สหรัฐ

นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังกดดันให้จีนจัดทำแผนลดตัวเลขเกินดุลการค้า 1 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากเมื่อปีที่แล้ว จีนมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐจำนวน 3.752 แสนล้านดอลลาร์ โดยปธน.ทรัมป์เปิดเผยผ่านการทวีตข้อความว่า สหรัฐไม่สามารถเมินเฉยต่อการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม

รายงานล่าสุดของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้น 16.7% สู่ระดับ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2558 โดยตัวเลขส่งออกไปยังจีนดิ่งลง 28.1% ขณะที่นำเข้าเพิ่มขึ้น 2.9%

หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 2.6% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในบรรดาหุ้นบลูชิพที่คำนวณในดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ อันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ

หุ้นบรอดคอม ซึ่งเป็นบริษัทเซมิคอนดัคเตอร์รายใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสิงคโปร์ ปรับตัวลง 0.2% หลังจากบรอดคอมได้ประกาศยกเลิกการยื่นข้อเสนอซื้อกิจการควอลคอมม์ อิงค์ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายชิพโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ระดับโลก ภายหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเมื่อวันจันทร์ เพื่อสกัดข้อเสนอซื้อกิจการดังกล่าว โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ

หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการสายการบินรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 2.6% หลังจากเกิดกระแสโจมตีสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์สอีกครั้ง จากกรณีสุนัขของผู้โดยสายตายบนเครื่องบิน เนื่องจากพนักงานต้อนรับของยูไนเต็ด แอร์ไลน์สบังคับให้ผู้โดยสารนำกระเป๋าใส่สุนัขที่มีสุนัขตัวดังกล่าว ใส่ไว้ในช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะ จนทำให้สุนัขตายเพราะขาดอากาศ

หุ้นฟอร์ด มอร์เตอร ดีดตัวขึ้น 2.2% หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักในระหว่างวัน จากการที่ฟอร์ดประกาศเรียกคืนรถยนต์ราว 1.38 ล้านคันในอเมริกาเหนือ เนื่องจากพบความบกพร่องของพวงมาลัยรถยนต์

อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับปัจจัยหนุนในระดับหนึ่งจากข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐยังคงไม่สูงมากและอาจจะไม่ผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยทางการสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ขยายตัว 0.2% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนม.ค.ที่มีการขยายตัว 0.4% ขณะที่ยอดค้าปลีกปรับตัวลง 0.1% ในเดือนก.พ. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% และยังเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 20-21 มี.ค. ขณะที่ CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 86% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในปีนี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในเดือนมิ.ย. และครั้งที่ 3 ในเดือนก.ย.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเงินเฟ้อและข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนมี.ค.จากเฟดนิวยอร์ก, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนก.พ., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนมี.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.พ., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ