ดาวโจนส์ดีดเกือบ 100 จุดจากคำสั่งซื้อเก็งกำไร ขณะจับตาการเมืองสหรัฐ,แนวโน้มสงครามการค้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 16, 2018 21:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นเกือบ 100 จุดในวันนี้ จากคำสั่งซื้อเก็งกำไร ขณะที่นักลงทุนจับตาปัจจัยการเมืองสหรัฐ และแนวโน้มการทำสงครามทางการค้า

คาดว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะมีความผันผวนในวันนี้ เนื่องจากเป็นวันครบกำหนดส่งมอบออปชั่น, สัญญาล่วงหน้า รวมทั้งออปชั่นล่วงหน้าของหุ้นหลายตัว

ณ เวลา 20.52 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,958.52 จุด เพิ่มขึ้น 84.86 จุด หรือ 0.34%

หุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรสทะยานขึ้นมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก

สื่อรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ตัดสินใจปลดพลโท เฮอร์เบิร์ต เรย์มอนด์ แมคมาสเตอร์ ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ รวมทั้งอาจมีการปลดพล.อ.จอห์น เคลลี หัวหน้าคณะทำงานประจำทำเนียบขาว ออกจากตำแหน่งในวันนี้

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศปลดนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งด้านนโยบายต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา โดยปธน.ทรัมป์ได้แต่งตั้งนายไมค์ ปอมเปโอ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) ให้เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศแทนนายทิลเลอร์สัน และให้นางจีน่า แฮสเปล รองผอ.CIA ขึ้นเป็นผอ.CIA คนใหม่

ทำเนียบขาวแถลงว่า ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ได้ทวีตข้อความในวันพุธที่แล้วที่ระบุว่า สหรัฐได้แจ้งให้จีนจัดทำแผนลดตัวเลขเกินดุลการค้ากับสหรัฐ โดยให้ปรับลดลง 1 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ แต่ที่จริงแล้ว ปธน.ทรัมป์ต้องการบอกให้จีนจัดทำแผนลดตัวเลขเกินดุลการค้า 1 แสนล้านดอลลาร์ ไม่ใช่ 1 พันล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐได้เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ, โทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อตอบโต้การทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม

เมื่อปีที่แล้ว จีนมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐจำนวน 3.752 แสนล้านดอลลาร์

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้น 16.7% สู่ระดับ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2558 โดยตัวเลขส่งออกไปยังจีนดิ่งลง 28.1% ขณะที่นำเข้าเพิ่มขึ้น 2.9%

นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการเปิดเผยตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนก.พ.

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยในวันนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.1% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 4 เดือน โดยได้แรงหนุนจากภาคก่อสร้าง, ภาคพลังงาน และเหมืองแร่

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ในเดือนก.พ. หลังจากลดลง 0.3% ในเดือนม.ค.

เมื่อเทียบรายปี การผลิตภาคอุตสาหกรรมพุ่งขึ้น 4.4% ในเดือนก.พ.

ทั้งนี้ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเป็นการวัดการปรับตัวของภาคการผลิต, เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค

ภาคการผลิตดีดตัวขึ้น 1.2% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว

นอกจากนี้ ภาคเหมืองแร่ทะยานขึ้น 4.3% แต่ภาคสาธารณูปโภคดิ่งลงเกือบ 5% โดยสภาวะอากาศอบอุ่นได้ลดความต้องการใช้พลังงานในการทำความร้อน

ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 0.7% สู่ระดับ 78.1% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2558

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 20-21 มี.ค. ขณะที่ CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 86% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในปีนี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในเดือนมิ.ย. และครั้งที่ 3 ในเดือนก.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ