ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (19 มี.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังจากมีรายงานว่าสหภาพยุโรป (EU) และสหราชอาณาจักร สามารถบรรลุข้อตกลงในการอนุญาตให้สหราชอาณาจักรยังคงอยู่ใน EU ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2563 ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทข้ามชาติ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,042.93 จุด ลดลง 121.21 จุด หรือ -1.69%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลง เนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้ โดยเมื่อคืนนี้ เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.3986 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3848 ดอลลาร์
ปัจจัยที่ทำให้สกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐนั้น มาจากรายงานที่ว่า EU และสหราชอาณาจักร สามารถบรรลุข้อตกลงเมื่อวานนี้ ในการอนุญาตให้สหราชอาณาจักรยังคงอยู่ใน EU ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2563 แต่จะมีบทบาทและอำนาจที่ลดน้อยลง
ทั้งนี้ EU และสหราชอาณาจักรกำหนดช่วงเวลาดำเนินกระบวนการเปลี่ยนผ่านเป็นเวลา 21 เดือนนับตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.2562 จนถึงสิ้นปี 2563 ก่อนที่สหราชอาณาจักรจะแยกตัวออกจาก EU (Brexit) อย่างสมบูรณ์ โดยการกำหนดระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อให้ภาคธุรกิจและพลเมืองทั้งในสหราชอาณาจักรและ EU มีเวลามากขึ้นในการเตรียมพร้อมสำหรับการแยกตัวของสหราชอาณาจักรออกจาก EU และจะช่วยให้คณะเจรจาของสหราชอาณาจักรและ EU มีเวลาในการสรุปการเจรจาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ฝ่ายขณะเริ่มปี 2564
หุ้นไมโคร โฟกัส ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ของอังกฤษ ทรุดฮวบลง 46% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปีงบการเงิน 2561
หุ้นแฮมเมอร์สัน พุ่งขึ้น 24% หลังจากแฮมเมอร์สันได้ปฏิเสธข้อเสนอเทคโอเวอร์กิจการมูลค่า 4.9 พันล้านปอนด์จากบริษัทเคลปิเยร์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของฝรั่งเศส ขณะที่รายงานดังกล่าวได้ฉุดหุ้นเคลปิเยร์ ร่วงลง 4%
หุ้นธนาคารบาร์เคลย์ ดีดตัวขึ้น 3.6% หลังจากบริษัทเชอร์บอร์น อินเวสเตอร์ส เมเนจเมนท์ ได้เข้าซื้อหุ้น 5.2% ในธนาคารบาร์เคลย์ส