ดาวโจนส์ไหลไม่หยุด ล่าสุดทรุดกว่า 500 จุด ขณะวิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 2, 2018 22:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ โดยล่าสุดดิ่งลงกว่า 500 จุด จากความวิตกของนักลงทุนเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

นอกจากนี้ การทรุดตัวลงเกือบ 5% ของหุ้นอเมซอนก็เป็นอีกปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในวันนี้

ณ เวลา 22.46 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 23,589.00 จุด ลดลง 514.11 จุด หรือ 2.13%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงกว่า 2.5% ในวันนี้ นำโดยหุ้นอเมซอน

รัฐบาลจีนประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆจากสหรัฐ จำนวน 128 รายการ ซึ่งรวมถึงเนื้อหมูและผลไม้ โดยมีเป้าหมายที่จะตอบโต้สหรัฐที่ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในช่วงก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ จีนได้ตัดสินใจเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้า 120 รายการจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงผลไม้และผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับผลไม้ ในอัตรา 15% และเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอีก 8 รายการ ซึ่งรวมถึงเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหมู ในอัตรา 25% เพื่อตอบโต้สหรัฐที่ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และภาษีนำเข้าอลูมิเนียมในอัตรา 10% จากประเทศต่างๆ รวมถึงจีน นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังได้ลงนามในคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยกล่าวหาว่า จีนดำเนินนโยบายการค้าและการลงทุนที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งรวมถึงการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาจากสหรัฐ

ปธน.ทรัมป์ได้แสดงความไม่พอใจที่สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนเป็นวงเงินสูงถึง 3.75 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2560 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขาดดุลการค้าโดยรวมของสหรัฐ

หุ้นอเมซอนดิ่งลง 4.7% ในวันนี้ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวโจมตีบริษัทอเมซอนว่า เอาเปรียบการไปรษณีย์สหรัฐ (USPS)

ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความว่า "การไปรษณีย์สหรัฐจะต้องขาดทุน 1.50 ดอลลาร์โดยเฉลี่ยของพัสดุแต่ละกล่องที่ถูกจัดส่งให้กับทางอเมซอน ซึ่งจะมียอดขาดทุนรวมสูงถึงนับพันล้านดอลลาร์ และหากการไปรษณีย์สหรัฐปรับขึ้นอัตราการให้บริการ ก็จะส่งผลทำให้ค่าขนส่งของทางอเมซอนสูงถึง 2.6 พันล้านดอลลาร์"

การโจมตีบริษัทค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ครั้งนี้มีขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ปธน.ทรัมป์ก็ได้ทวีตโจมตีอเมซอนมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยกล่าวหาว่าการขนส่งสินค้าของอเมซอนส่งผลกระทบต่อร้านค้าปลีกและรัฐบาลท้องถิ่น

ปธน.ทรัมป์ทวีตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า "ผมเคยแสดงความกังวลในเรื่องอเมซอนมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ว่าอเมซอนจ่ายภาษีน้อยกว่าบริษัทอื่นๆ หรือไม่ได้เสียภาษีให้กับรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น อีกทั้งยังใช้ระบบบริการไปรษณีย์ของเราเหมือนเป็นเด็กส่งของของบริษัท (ซึ่งทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องเสียผลประโยชน์จำนวนมาก) และยังทำให้ผู้ค้าปลีกอีกหลายพันรายต้องปิดตัวลง"

ถึงแม้ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงในวันนี้ แต่นักวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมีแนวโน้มพุ่งขึ้นในเดือนนี้ แม้ปรับตัวลงในไตรมาสแรก

ทั้งนี้ ดัชนี S&P500 ดีดตัวขึ้นในเดือนม.ค. แต่ร่วงลงในเดือนก.พ.และมี.ค. ส่งผลให้ดัชนีดิ่งลง 1% ในไตรมาสแรก หลังจากที่ปรับตัวขึ้นทุกไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2558

นอกจากนี้ การร่วงลงของดัชนี S&P500 ในไตรมาสแรก ยังเป็นการสิ้นสุดช่วงเวลาการปรับตัวขึ้นติดต่อกันที่ยาวนานที่สุดของไตรมาสแรกในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท โดยดัชนี S&P500 สามารถดีดตัวขึ้นในไตรมาสแรกของทุกปีนับตั้งแต่ปี 2552 ยกเว้นในปีนี้

นายไรอัน เดทริค นักวิเคราะห์อาวุโสของแอลพีแอล ไฟแนนเชียล กล่าวว่า "ตามสถิติที่ผ่านมา ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนเม.ย."

เขากล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 สามารถปรับตัวขึ้นถึง 9 ครั้งในเดือนเม.ย. และหากพิจารณาย้อนกลับไปถึงปี 2493 ดัชนีบวกขึ้นเฉลี่ย 1.5% ในเดือนดังกล่าว ซึ่งมีเพียงเดือนพ.ย.และธ.ค.เท่านั้นที่ดัชนีทะยานขึ้นมากกว่าเดือนเม.ย.

นายเดทริกยังระบุว่า ปัจจัยทางเทคนิคยังบ่งชี้ว่าดัชนี S&P500 จะดีดตัวขึ้นในเดือนนี้

ขณะเดียวกัน กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐจะเริ่มรายงานผลประกอบการในไตรมาสแรกในวันที่ 13 เม.ย. ซึ่งหากบริษัทจดทะเบียนรายงานกำไรตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในเดือนนี้

ทางด้านสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM ร่วงลงสู่ระดับ 59.3 ในเดือนมี.ค. จากระดับ 60.8 ในเดือนก.พ. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวสู่ระดับ 60.0

ดัชนียังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะขยายตัวของภาคการผลิต และเป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 19

อย่างไรก็ดี ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.6 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2558 จากระดับ 55.3 ในเดือนก.พ. โดยดัชนี PMI ยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิต โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงานที่แข็งแกร่ง

นอกจากนี้ มาร์กิตยังระบุว่า ค่าเฉลี่ยของดัชนี PMI ในไตรมาสแรกของปีนี้แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2557

ส่วนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างขยับขึ้น 0.1% ในเดือนก.พ. หลังจากทรงตัวในเดือนม.ค.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.พ.

เมื่อเทียบรายปี การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างของสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.0% ในเดือนก.พ.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนายนีล แคชแครี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขามินเนอาโพลิส ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ