ดาวโจนส์นิ่ง โฟกัสบอนด์ยีลด์พุ่งแตะ 3% หวั่นทุบตลาดหุ้นวูบ,ฉุดเศรษฐกิจซบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 23, 2018 21:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์แทบไม่ขยับในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่กำลังดีดตัวขึ้นใกล้แตะระดับ 3.00% ซึ่งระดับดังกล่าวได้เคยส่งผลให้เกิดแรงเทขายอย่างหนักในตลาดหุ้น, พันธบัตร และสินค้าโภคภัณฑ์ก่อนหน้านี้

ณ เวลา 21.06 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,460.08 จุด ลบ 2.86 จุด หรือ 0.01%

หุ้นกลุ่มพลังงานฉุดตลาดวันนี้ ตามราคาน้ำมันที่ดิ่งลง

นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตาด้วยความวิตกต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีที่กำลังดีดตัวขึ้นใกล้แตะระดับ 3.00%

หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.00% ก็จะเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2557 และถ้าหากทะยานขึ้นเหนือระดับ 3.04% ก็จะเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2554

ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินพุ่งขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะเป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และตลาดหุ้นทั่วโลก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสำหรับอัตราเงินกู้จำนอง และอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ และเครื่องมือทางการเงินในระบบ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังคงพุ่งขึ้นในวันนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 10 ปีดีดตัวขึ้นใกล้แตะระดับ 3.00% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีใกล้แตะระดับ 3.18%

นักลงทุนแห่เทขายพันธบัตร หลังสูญเสียความน่าดึงดูดในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากการคลายความวิตกในคาบสมุทรเกาหลี และสถานการณ์ในซีเรีย ขณะที่นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ จากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีกว่าคาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.99% ในวันนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 3.175%

ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน

ก่อนหน้านี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอยู่ในช่วงขาลงเป็นเวลานานหลายปี จากการที่เฟด และธนาคารกลางของประเทศต่างๆ พากันใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรในตลาด หลังเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี 2551 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งการใช้นโยบายผ่อนคลายดังกล่าวทำให้นักลงทุนต่างเคยชินกับภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ และพากันเข้าซื้อหุ้นในตลาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นทั่วโลก เนื่องจากคาดว่าเฟดจะยังคงแทรกแซงตลาดต่อไปด้วยการเข้าซื้อพันธบัตร

อย่างไรก็ดี หลังจากที่เฟดประกาศปรับลดงบดุล และลดวงเงินการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก็ได้ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเริ่มดีดตัวขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะปรับตัวอยู่ในช่วง 3.0-3.5% ในปลายปีนี้

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งขึ้น จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินดีดตัวขึ้น จะทำให้ภาคเอกชนมีต้นทุนในการกู้ยืมมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีการลดการลงทุน และลดการจ้างงาน ขณะที่ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย และจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะซบเซา และถดถอยในที่สุด

หุ้นแคทเทอร์พิลลาร์ และเมิร์ค ดีดตัวขึ้นในการซื้อขายช่วงแรก โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการที่บริษัทโบรกเกอร์ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของทางบริษัท

บริษัทจดทะเบียนในตลาดวอลล์สตรีทจะทำการเปิดเผยผลประกอบการอย่างคึกคักในสัปดาห์นี้ โดยมีบริษัทมากกว่า 170 แห่งจะเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาสแรก ซึ่งรวมถึงอัลฟาเบท, 3M, อเมซอน และเชฟรอน

ผลการสำรวจพบว่า บริษัทมากกว่า 82% ในดัชนี S&P 500 ที่ได้รายงานผลประกอบการแล้ว มีตัวเลขผลกำไรที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์

ตลาดจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ