ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 14.25 จุด วิตกบอนด์ยีลด์พุ่งกระทบตลาด ขณะนลท.จับตาผลประกอบการ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 24, 2018 06:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นใกล้แตะระดับ 3% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินพุ่งขึ้นและสร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเฟซบุ๊ก อัลฟาเบท และไมโครซอฟท์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,448.69 จุด ลดลง 14.25 จุด หรือ -0.06% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,128.60 จุด ลดลง 17.52 จุด หรือ -0.25% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,670.29 จุด เพิ่มขึ้น 0.15 จุด หรือ +0.01%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งขึ้นใกล้แตะระดับ 3% เมื่อคืนนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 2.96% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2557 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2551

ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินพุ่งขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะเป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และตลาดหุ้นทั่วโลก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสำหรับอัตราเงินกู้จำนอง และอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ และเครื่องมือทางการเงินในระบบ

นักลงทุนแห่เทขายพันธบัตร หลังสูญเสียความน่าดึงดูดในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากการคลายความวิตกในคาบสมุทรเกาหลี และสถานการณ์ในซีเรีย ขณะเดียวกันนักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ จากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีกว่าคาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

หุ้นอัลโค คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองรายใหญ่ระดับโลก ดิ่งลง 14% เนื่องจากการถูกคว่ำบาตรของบริษัท United Company Rusal ซึ่งเป็นผู้ผลิตอลูมิเนียมรายใหญ่นั้น ได้ส่งผลกระทบต่อสัญญาทางธุรกิจระหว่างอัลโคและบริษัทดังกล่าว

หุ้นคิมเบอร์ลีย์-คล๊าค ร่วงลง 1.5% แม้ทางบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดก็ตาม

หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ของสหรัฐ ขยับขึ้น 0.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 1 ที่ระดับ 46 ล้านดอลลาร์ หรือ 5 เซนต์/หุ้น จากที่ขาดทุน 32 ล้านดอลลาร์ หรือ 4 เซนต์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้น 1.1% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 5.60 ล้านยูนิต จากระดับ 5.54 ล้านยูนิตในเดือนก.พ. ขณะที่ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 54.8 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน หลังจากแตะ 54.2 ในเดือนมี.ค.

นักลงทุนจับตาบริษัทจดทะเบียนในตลาดวอลล์สตรีทจะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงอัลฟาเบท, 3M, อเมซอน เชฟรอน เฟซบุ๊ก และไมโครซอฟท์ ขณะที่ผลการสำรวจพบว่า บริษัทมากกว่า 82% ในดัชนี S&P 500 ที่ได้รายงานผลประกอบการแล้ว มีตัวเลขผลกำไรที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนก.พ.โดยเอสแอนด์พี/เคซ-ชิลเลอร์, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จาก Conference Board, ยอดขายบ้านใหม่เดือนมี.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมี.ค., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2561 และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ