ดาวโจนส์พุ่งกว่า 100 จุด ขานรับผลประกอบการแกร่ง,กระแสควบรวมกิจการ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 30, 2018 20:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในวันนี้ ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง รวมทั้งกระแสการควบรวมกิจการในภาคเอกชน

ณ เวลา 20.39 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,449.16 จุด เพิ่มขึ้น 137.97 จุด หรือ 0.57%

หุ้นกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภคพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นแมคโดนัลด์ คอร์ปทะยานขึ้นมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก

บริษัทแมคโดนัลด์ คอร์ป รายงานตัวเลขกำไร และรายได้ประจำไตรมาส 1 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยบริษัทมีรายได้ที่ระดับ 5.14 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 4.98 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ บริษัทมีกำไรที่ระดับ 1.79 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.67 ดอลลาร์/หุ้น

บริษัทมาราธอน ปิโตรเลียม คอร์ป แถลงในวันนี้ว่า ทางบริษัทจะเข้าซื้อกิจการของบริษัทแอนเดฟเวอร์ ซึ่งเป็นคู่แข่ง ด้วยวงเงินมากกว่า 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อก่อตั้งบริษัทกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ แซงหน้าวาเลโร เอเนอร์จี คอร์ป

มาราธอนเสนอซื้อกิจการแอนเดฟเวอร์ด้วยเงินสดและหุ้น โดยตีราคาหุ้นแอนเดฟเวอร์ที่ระดับ 152 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าราคาปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ถึง 24%

บริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่จะมีความสามารถในการกลั่นน้ำมันราว 3.1 ล้านบาร์เรล/วัน และมีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน, ก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งท่อส่งน้ำมันที่กว้างขวาง

ทางด้านสปรินท์ คอร์ป ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายในสหรัฐ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของซอฟท์แบงก์ กรุ๊ป คอร์ป ได้บรรลุข้อตกลงควบรวมกิจการกับที-โมบาย ยูเอส อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของดอยซ์ เทเลคอม เอจี เพื่อจัดตั้งบริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานสมาชิกมากกว่า 120 ล้านราย

ทั้งนี้ บริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะมีชื่อว่า "ที-โมบาย" โดยดอยซ์ เทเลคอมจะถือหุ้นในสัดส่วน 42% ขณะที่ซอฟท์แบงก์จะถือหุ้น 27%

การบรรลุข้อตกลงในครั้งนี้มีขึ้นในการเจรจาครั้งที่ 3 นับตั้งแต่ซอฟท์แบงก์ได้เสนอซื้อกิจการสปรินท์เมื่อปี 2556 ในวงเงิน 1.8 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ สปรินท์ และที-โมบาย ยูเอส เปิดเผยว่า บริษัทแห่งใหม่นี้จะลงทุนมูลค่าสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์ในเครือข่ายใหม่ รวมทั้งลงทุนในด้านอื่นๆ ในช่วง 3 ปีแรก

สำหรับการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พุ่งขึ้น 2.0% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปีที่แล้ว หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนก.พ.

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทรงตัวในเดือนมี.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.พ.

ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ พุ่งขึ้น 1.9% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปีที่แล้ว หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนก.พ.

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมี.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.2% เช่นกันในเดือนก.พ.

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนมี.ค. หลังจากทรงตัวในเดือนก.พ.

หากมีการปรับค่าตามเงินเฟ้อ การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนมี.ค. หลังจากลดลง 0.2% ในเดือนก.พ.

นอกจากนี้ รายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.3% เช่นกันในเดือนก.พ.

ส่วนตัวเลขการออมของผู้บริโภคสหรัฐลดลงสู่ระดับ 4.606 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค. จากระดับ 4.831 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ.

อัตราการออมลดลงสู่ระดับ 3.1% หลังจากอยู่ที่ระดับ 3.3% ในเดือนก.พ.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ