ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 193 จุด วิตกบอนด์ยีลด์พุ่ง,กระแสคาดเฟดขึ้นดบ. 4 ครั้งปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 16, 2018 06:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (15 พ.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทโฮม ดีโปท์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ รวมทั้งกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,706.41 จุด ร่วงลง 193.00 จุด หรือ -0.78% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,711.45 จุด ลดลง 18.68 จุด หรือ -0.68% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,351.63 จุด ลดลง 59.69 จุด หรือ -0.81%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐที่พุ่งขึ้นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2554 โดยดีดตัวสู่ระดับ 3.059% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.189% เมื่อคืนนี้

สำหรับปัจจัยที่ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้นนั้น มาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ดีดตัวสู่ระดับ 20.1 ในเดือนพ.ค. สูงกว่าระดับ 15 ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของยอดขายน้ำมันเบนซินตามการดีดตัวของราคาน้ำมัน

ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินพุ่งขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะเป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทและตลาดหุ้นทั่วโลก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสำหรับอัตราเงินกู้จำนอง และอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ และเครื่องมือทางการเงินในระบบ

นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยกดดันหลังจาก CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 51% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 ในปีนี้ ขณะที่นักลงทุนยังคาดว่า เฟดมีโอกาส 95% ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย. และมีโอกาส 81.4% ที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.

หุ้นโฮม ดีโปท์ ร่วงลง 1.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 1 อยู่ที่ระดับ 2.495 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.515 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดขายในไตรมาส 1 เพิ่มขึ้น 4.2% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 5.4%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ร่วงลง 2% หุ้นเฟซบุ๊ก ดิ่งลง 1.2% หุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 0.9% หุ้นไมโครซอฟท์ ปรับตัวลง 7% หุ้นอเมซอนดอทคอม ดิ่งลง 1.6% และหุ้นเน็ตฟลิกซ์ ปรับตัวลง 0.7%

นักลงทุนจับตาการเจรจาด้านการค้าระหว่างนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีนและที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งเดินทางเยือนสหรัฐตั้งแต่เมื่อวานนี้จนถึงวันเสาร์นี้ เพื่อหารือประเด็นข้อพิพาททางการค้าระดับทวิภาคี ซึ่งการเจรจาดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนคว้าน้ำเหลวในการเจรจาที่กรุงปักกิ่งในช่วงต้นเดือนนี้ โดยทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อคลี่คลายความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องภาษีนำเข้า

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนเม.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรม-การใช้กำลังการผลิตเดือนเม.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีการผลิตเดือนพ.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ