ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1048 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.1144 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ลดลงที่ 1.5602 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5731 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 123.18 เยน จาก 122.33 เยน และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9486 ฟรังก์ จาก 0.9349 ฟรังก์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7645 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7714 ดอลลาร์
ข้อมูลจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเกินคาดเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนดอลลาร์สหรัฐให้ปรับตัวแข็งแกร่ง โดยผลการสำรวจของออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) ระบุว่า ภาคเอกชนของสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 237,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 220,000 ราย
ผลสำรวจดังกล่าวบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐปรับตัวดีขึ้น ซึ่งสนับสนุนกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลภาคการผลิตสหรัฐ หลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตของสหรัฐขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นในเดือนมิ.ย. และเป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 30 โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต อยู่ที่ระดับ 53.5 ในเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้นจากระดับ 52.8 ในเดือนพ.ค.
ส่วนสกุลเงินยูโรเผชิญแรงกดดัน เนื่องจากการประชุมทางไกลฉุกเฉินของกลุ่มรัฐมนตรีคลังยูโรโซน หรือยูโรกรุ๊ป ที่จัดขึ้นเมื่อคืนนี้ ได้สิ้นสุดลงโดยไม่มีการทำข้อตกลงใดๆ
ทั้งนี้ บรรดาเจ้าหนี้ได้แจ้งต่อทางการกรีซว่าจะมีการหารือกันอีกครั้งหลังจากการลงประชามติในวันอาทิตย์นี้ในประเด็นที่ว่ากรีซจะยอมรับข้อเสนอจากเจ้าหนี้หรือไม่