ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 119.79 เยน จากระดับของวันจันทร์ที่ 118.62 เยน และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9442 ฟรังค์ จากระดับ 0.9336 ฟรังค์
ยูโรอ่อนค่าลงแตะระดับ 1.1423 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.1591 ดอลลาร์สหรัฐ เงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.5685 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5773 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์ออสเตรเลียขยับลงแตะระดับ 0.7160 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7184 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน หลังจากธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปี ลง 0.25% มาอยู่ที่ 4.6% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. และได้ปรับลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ลง 0.50% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.
ขณะเดียวกัน ข้อมูลบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐยังช่วยหนุนสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นด้วย โดยผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 101.5 ในเดือนส.ค. จากระดับ 91.0 ในเดือนก.ค. ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นเดือนส.ค.ออกมาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 93.8
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 5.4% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 507,000 ยูนิต ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ
นอกจากนี้ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังได้รับปัจจัยบวกจากกระแสคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา คาดว่า เฟดมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ แม้ว่าตลาดการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญกับแรงกดดันอยู่บ้าง
ทั้งนี้ ประธานเฟดแอตแลนตาระบุว่า ปัจจัยที่สนับสนุนการประเมินแนวโน้มการปรับขั้นดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ ก็คือการขยายตัวที่ระดับปานกลางของเศรษฐกิจสหรัฐ การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป