ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งเทียบค่าเงินหลัก รับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐสดใส

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (17 ก.พ.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยล่าสุด Conference Board เปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจปรับตัวขึ้นสูงกว่าการคาดการณ์ในเดือนม.ค. นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังคงได้รับแรงหนุนจากการที่นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แสดงมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรที่ระดับ 1.0612 ยูโร จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.0669 ยูโร และแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่ระดับ 1.2429 ปอนด์ จากระดับ 1.2490 ปอนด์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ออสเตรเลียที่ระดับ 0.7663 ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.7695 ดอลลาร์ออสเตรเลีย และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 1.0026 ฟรังก์ จากระดับ 0.9978 ฟรังก์

อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับเงินเยน ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงสู่ระดับ 112.88 เยน จากระดับ 113.23 เยน

ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดย Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ประจำเดือนม.ค.ปรับตัวขึ้น 0.6% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.5%

ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี ในเดือนม.ค. จากราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้น และบ่งชี้ว่าแรงกดดันจากเงินเฟ้อกำลังปรับตัวขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

ทั้งนี้ ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2013

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 2.5% ในเดือนม.ค. ซึ่งสูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2% ของเฟด และเป็นการเพิ่มขึ้นรายปีมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2012 หลังจากเพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือนธ.ค.

นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังได้รับแรงหนุนจากการที่นางเยลเยนได้แสดงมุมมองเป็นบวกต่อเศรษฐกิจ โดยในการแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาเมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น นางเยลเลนได้แสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจมีการขยายตัวปานกลาง ท่ามกลางตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และเงินเฟ้อกำลังปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจกำลังปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน