สรพ. เผยผลการลดการสั่งยาปฏิชีวนะเฉลี่ยทั่วประเทศลดลง 50%

ข่าวทั่วไป Tuesday March 25, 2014 10:45 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--25 มี.ค.--สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล น.พ.วิบูลย์ศักดิ์ วุฒิธนโชติ นายแพทย์เชี่ยวชาญ รองแพทย์ฝ่ายวิชาการ โรงพยาบาลชุมแพ เปิดเผยว่าปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ยามากเกินจำเป็น ซึ่งการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อนี้เองทำให้เป็นสาเหตุของการดื้อยาที่อยู่ในระดับอันตรายโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วยอาการเรื้อรังเช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เป็นต้น และเมื่อปี 2549 พบว่ามูลค่าการใช้ยารวมของประเทศสูงถึง 76,000 ล้านบาท ส่วนกลุ่มยาที่มีมูลค่าการใช้สูงสุดอยู่ในกลุ่มของยาฆ่าเชื้อ จากผลการศึกษาขององค์การอนามัยโลกพบว่าร้อยละ 50 เป็นการใช้ยาโดยไม่จำเป็น และผลจากการศึกษาในประเทศไทยพบว่ามีการใช้ยาปฏิชีวนะในด้านจุลชีพไม่เหมาะสมถึงร้อยละ 25 – 91 ซึ่งจากรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาดังกล่าวทำให้พบปัญหาจากการใช้ยาปฏิชีวนะสูงเป็นอันดับ 1 โดยมีอัตราเชื้อดื้อยาเพิ่มสูงถึงร้อยละ 25 – 50 ทั้งนี้ รายงานการสำรวจพบว่ามีการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสมเกิดขึ้นบ่อยมากในประเทศต่างๆทั่วโลกเช่น อเมริกาปี 1978 พบ 41% ,แคนนาดาปี 1980 พบ 63% ,ออสเตรเลียปี 1983 พบ 48% และปี 1990 พบ 64% และไทยปี 1990 พบ 91% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก จากปัญหาดังกล่าวทำให้มีการเริ่มตระหนักถึงปัญหาในด้านการใช้ยาปฏิชีวนะ และร่วมกันหยุดใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อ ทำให้มีการริเริ่มโครงการ Antibiotic Smart Use ขึ้น เป้าหมายของโครงการฯ คือกลุ่มของบุคลากรทางการแพทย์ ให้ลดการสั่งใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาผู้ป่วย โดย ในกลุ่มผู้ป่วยนอกพบว่ามี 3 กลุ่มโรคที่ใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นได้แก่ 1.โรคหวัด-เจ็บคอ 2.ท้องร่วงเฉียบพลัน 3.แผลเลือดออก ตั้งแต่มีการเริ่มโครงการฯในโรงพยาบาลชุมแพ ปัจจุบันพบว่าสามารถลดการใช้ยาในโรคหวัดไม่ถึง 20% โรคท้องร่วงไม่ถึง 20% และสามารถลดค่าใช้จ่ายของยาใน 2 กลุ่มโรคดังกล่าวได้ปีละถึง 6-7 แสนบาทต่อปี ซึ่งในกลุ่มโรงพยาบาลทั่วประเทศเฉลี่ยมีการใช้ยาปฎิชีวนะลดลง 50 % ด้านภญ.พนารัตน์ บูระชนอาภา เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลชาติตระการ เปิดเผยว่าในมุมมองแพทย์ ต่อการใช้ยาปฏิชีวนะกับผู้ป่วย จากผลสำรวจพบว่าสาเหตุเกิดจาก 5 ปัจจัย ได้แก่ 1.ผู้ป่วยร้องขอเพราะได้รับยามาตลอด 2.ผู้ป่วยอาศัยอยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาล 3.กลัวผู้ป่วยไม่พึงพอใจและร้องเรียน 4.การวินิจฉัยว่าติดเชื้อ GAS ยากและไม่คุ้มค่าหากต้องมีการเพาะเชื้อในห้องทดลอง 5.re-visitจะเพิ่มขึ้น ดังนั้น ทางกลุ่มของตนจึงมีความคิดริเริ่มในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลเข้ามาใช้ โดยเป้าหมายในการพัฒนาจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ โรงพยาบาล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) และชุมชน โดยโรงพยาบาลจะทำหน้าที่ให้ความรู้ความเข้าใจ ปรับความเชื่อเกี่ยวการใช้ยา และเสริมสร้างความมั่นใจในการรักษาโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ด้าน รพ.สต. คือการกำหนดนโยบายระดับอำเภอ และในส่วนของชุมชนจะมีการติดตามและประเมินผลด้านความพึงพอใจและทัศนคติว่ามีผลอย่างไรต่อคนในชุมชน สำหรับการจัดองค์ความรู้ของบุคลากรทางการแพทย์ ควรมีการรวบรวมความรู้ที่มีอยู่มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้ในการพัฒนาตนเองและสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้สิ่งที่ทำให้การพัฒนาดังกล่าวประสบความสำเร็จนั้นสิ่งสำคัญคือการผลักดันนโยบายของผู้บริหารและการเรียนรู้รวมถึงการร่วมมือกันของบุคลากรทางการแพทย์ในองค์กร ซึ่งจากการสุ่มประเมินผู้ป่วยที่รักษาในทุกกลุ่มอายุ พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 91 หายจากโรคโดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ด้านเภสัชกรหญิงดวงแก้ว อังกูรสิทธิ์ เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลสมุทรสาคร เปิดเผยว่าเนื่องจากจังหวัดสมุทรสาครมีความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและการประมง ทำให้มีแรงงานชาวพม่าเข้ามาทำงานมาก ผลสำรวจพบว่ามาแรงงานต่างด้าวที่มาเข้ารับบริการในโรงพยาบาลสมุทรสาครมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในปี 2556 พบว่าจำนวนคนไข้ต่างด้าวที่ส่วนใหญ่เป็นชาวพม่าแบ่งเป็นคนไข้นอกประมาณ 414 คนต่อวัน และคนไข้ในประมาณ 30 คนต่อวัน ทำให้เกิดปัญหาตามมาเช่น การสื่อสารที่ไม่เข้าใจ การใช้ที่ไม่ถูกต้องของผู้ป่วย นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลที่มีแนวคิดในการแก้ปัญหาในการสื่อสารกับผู้ป่วยเช่น โรงพยาบาลแม่สอด และโรงพยาบาลบันนังสตา เป็นต้น จากปัญหาดังกล่าว จึงได้มีการริเริ่มในการพัฒนา application ที่มีชื่อว่า “Rxmyanmar” เพื่อรวบรวมคำที่ใช้บ่อยในการจ่ายยา เพื่อเป็นประโยชน์ในการสื่อสารกับผู้ป่วยชาวพม่าในสถานพยาบาลไทยที่ไม่มีล่ามแปลและเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ซึ่งผลจากการทดลองใช้ในโรงพยาบาลสมุทรสาคาพบว่าผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการและบุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่พึงพอใจมาก เพราะช่วยทำให้การสื่อสารระหว่างกันเข้าใจมากขึ้นและผู้ป่วยสามารถใช้ยาได้ถูกต้อง อนาคตหากมีการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะมีการพัฒนาต้นแบบในหลายๆภาษารวมถึงการพัฒนาด้านการแปลและฟังชั่นอื่นๆให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ด้านภญ.สุธิดา ศรีวิทยานันต์ โรงพยาบาลป่าตอง เปิดเผยว่าเนื่องจากผู้ป่วยติดเตียง/ติดบ้าน และผู้ป่วยโรคเรื้อรังส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่มีการใช้ยาหลายชนิดอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดปัญหาในการใช้ยาให้ถูกต้องและไม่สม่ำเสมอ การที่ไม่มีผู้ดูแล การไม่ได้มารับยาตามนัดทำให้ไม่ได้รับยารวมถึงอาจใช้ยาที่ไม่ควรใช้ ซึ่งส่งผลให้ควบคุมอาการที่เป็นอยู่ไม่ได้และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา จากปัญหาดังกล่าวจึงมีการริเริ่มทำกิจกรรมเกี่ยวกับเภสัชกรประจำครอบครัวขึ้น เพื่อดูแลและตรวจเยี่ยมผู้ป่วยเป็นประจำทุกเดือน พร้อมทั้งประเมินแก้ไขปัญหาในการใช้ยาร่วมกับผู้ป่วยและผู้ดูแล รวมถึงให้คำแนะนำสอนวิธีการใช้ยาและปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเหมาะสมแก่ผู้ป่วยและผู้ดูแล ซึ่งจากกิจกรรมพัฒนาดังกล่าวพบว่าทำให้ผู้ป่วยใช้ยาได้ถูกต้องมากขึ้นและสามารถเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ